‘บิตคอยน์’ราคาพุ่งทุบสถิติ แบงก์ชาติอังกฤษเตือนนักลงทุน ระวังฟองสบู่แตก

05 ธ.ค. 2560 | 10:11 น.
ผู้บริหารธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษออกโรงเตือนนักลงทุนระวังความเสี่ยงจากการลงทุนใน “บิตคอยน์” สกุลเงินดิจิตอลที่มีการซื้อขายกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกและมีมูลค่าพุ่งทะลุ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯไปอยู่ที่ 11,377 ดอลลาร์ในเวลาอันรวดเร็วเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา

เซอร์ จอห์น คันลิฟฟ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษฝ่ายเสถียรภาพเงินตรา ให้ความเห็นว่าเมื่อราคาขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนก็ควรทำการบ้านให้มากและใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการที่ค่าเงินบิตคอยน์ขยับสูงขึ้นมากในปีนี้ยังไม่ถือว่ามากพอที่จะเป็นปัจจัยสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ “ผู้คนต้องเข้าใจชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่สกุลเงินอย่างเป็นทางการที่มีธนาคารกลางของประเทศใดๆ หรือรัฐบาลประเทศใดๆ สนับสนุนอยู่ข้างหลัง” ดังนั้น บิตคอยน์จึงมีสถานะใกล้เคียงกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่คนเลือกที่จะลงทุนหรือนำมาซื้อขายกัน มากกว่าการเป็นสกุลเงินตรา

กระนั้นก็ตาม มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์กันอย่างเป็นลํ่าเป็นสัน มีตลาดซื้อขายอย่างเป็นทางการ ทุกวันนี้มีบิตคอยน์หมุนเวียนอยู่ในระบบประมาณ 16.5 ล้านหน่วย ในแต่ละวันมีการออกบิตคอยน์ใหม่สู่ตลาดประมาณ 3,600 หน่วย นับตั้งแต่มีการคิดค้นขึ้นในปี 2552 ราคาของบิตคอยน์มีการปรับตัวสูงขึ้นมากแต่ก็มีความผันผวนสูง ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงเฝ้าติดตามและศึกษาถึงข้อดี-ข้อเสียของสกุลเงินดิจิตอลเหล่านี้ บางประเทศเช่น ญี่ปุ่น ธนาคารกลาง (บีโอเจ) ยอมรับการชำระหนี้ด้วยสกุลเงินบิตคอยน์เป็นเรื่องถูกกฎหมาย ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) กำลังพิจารณาว่าจะทดลองออกสกุลเงินดิจิตอลของตัวเองมาชิมลางดูบ้าง ขณะที่ธนาคารกลางของจีนสั่งห้ามบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิตอล

TP10-3319-A นายไมเคิล โนโวกราทซ์ อดีตผู้จัดการกองทุน ฟอร์ทเทรส เฮดจ์ฟันด์ ให้ความเห็นเชิงคาดการณ์ว่า ภายใน 13 เดือนข้างหน้า ค่าเงินบิตคอยน์อาจจะพุ่งขึ้นอีกมากกว่า 4 เท่า โดยอาจจะแตะถึงหน่วยละ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯภายในช่วงสิ้นปีหน้า (2561) ขณะที่อีเธอเรียม (Ethereum) ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลยอดนิยมอีกสกุลหนึ่ง ที่ปัจจุบันราคาแตะๆ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะขยับขึ้นได้อีก 3 เท่า ทั้งนี้จากสถิติของคอยน์เดสก์ เว็บไซต์ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงินดิจิตอลพบว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 พ.ย.) ค่าเงินบิตคอยน์เพิ่งทำสถิติใหม่ทะลุ 9,700 ดอลลาร์ ขณะที่อีเธอเรียมผ่านระดับ 493.40 ดอลลาร์ แต่ไม่กี่วันให้หลังบิตคอยน์ก็พุ่งเหนือ 10,000 ดอลลาร์เป็นการทุบสถิติใหม่ในเวลาอันรวดเร็วมาก กล่าวกันว่า มูลค่ารวมของตลาดสกุลเงินดิจิตอล (รวมทุกสกุล) ในวันที่ 23 พ.ย.นั้นอยู่ที่ 304,000 ล้านดอลลาร์ “ตัวเลขดังกล่าวนี้อาจจะเพิ่มขึ้นอีกราว 6 เท่าเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2561” โนโวกราทซ์ฟันธง เขาเองปัจจุบันได้จัดตั้งบริษัท กาแล็กซี่ อินเวสเมนท์ พาร์ทเนอร์ ขึ้นมาเพื่อรับบริหารสินทรัพย์ดิจิตอลเหล่านี้มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์

อุปสงค์หรือความต้องการของนักลงทุนจากเอเชียเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบิตคอยน์ทะยานขึ้นมากในระยะหลังๆนี้ การซื้อขายบิตคอยน์ราว 62% ของปริมาณทั้งหมดเป็นการซื้อขายด้วยสกุลเงินเยนของญี่ปุ่น ขณะที่การซื้อขายด้วยดอลลาร์สหรัฐฯมีสัดส่วนราว 21% และเป็นเงินวอนราว 9% แต่ความแตกต่างของบิตคอยน์ที่ผิดแผกไปจากสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น นํ้ามัน ก็คือตลาดไม่สามารถผลิตบิตคอยน์ออกมาได้มากๆเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น เพราะปริมาณสูงสุดของบิตคอยน์ในระบบนั้นถูกจำกัดไว้เพียง 21 ล้านหน่วยเท่านั้น

บาร์ไลน์ฐาน แม้ธนาคารกลางหลายประเทศยังเฝ้าจับตามองความเสี่ยงของสกุลเงินดิจิตอลเหล่านี้ที่อาจมีต่อระบบการเงินของประเทศในภาพรวม และหวั่นเกรงว่าการทรุดตัวลงของราคาสกุลเงินอย่างบิตคอยน์อาจส่งผลเหมือนการแตกออกของฟองสบู่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับราคาหลักทรัพย์ของบรรดาบริษัทดอตคอมในสหรัฐฯเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลก็ยังคงความคึกคัก โดยล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท บิทฟลายเออร์ฯ ตัวแทนซื้อขายสกุลเงินบิตคอยน์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่งได้รับใบอนุญาตจากทางการให้เข้ามาดำเนินธุรกิจซื้อขายเงินบิตคอยน์ในนิวยอร์กและอีก 40 รัฐของสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทมีแผนขยายธุรกิจในตลาดใหม่นี้ด้วยการเสนอแพ็กเกจไม่คิดเงินค่าธรรมเนียมจากลูกค้าที่มาใช้บริการจนถึงสิ้นปี 2560 บริษัท บิทฟลายเออร์ฯ ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกลุ่มทุนหลายรายของญี่ปุ่น อาทิ มิสุโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป และมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ แคปปิตอล เป็นต้น
นอกจากบิทฟลายเออร์แล้ว ยังมีบริษัทตัวแทนซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลอย่างเป็นทางการอีก 3 รายที่ได้รับใบอนุญาตดำเนินการในนิวยอร์ก ได้แก่ คอยน์เบส เซอร์เคิล และริพเพิล

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,319 วันที่ 3 - 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว