ฐานเศรษฐกิจ | จับตาประมูลการเปลี่ยน “เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด” และ “สายพานลำเลียง” สนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ 3 พันล้าน ส่อล็อกสเปก บริษัท Smiths Detection ยื่นร้อง ทอท. เดินตามที่ปรึกษาสิงคโปร์ สูญเสียเงินก้อนโตแน่
บริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ (AOT) หรือ ทอท. กำลังพิจารณาเปิดประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ปรับปรุงระบบตรวจสอบวัตถุระเบิดและงานปรับปรุงระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระของอาคารเทียบผู้โดยสารหลังใหม่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ใช้ตรวจกระเป๋าในการต่อเครื่องบิน โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 3,053 ล้านบาท
โดยกำหนดความเร็วในการสแกนกระเป๋าสัมภาระ 0.5 เมตรต่อวินาที จากเดิม 0.3 เมตรต่อวินาที
ก่อนหน้านี้
บอร์ด AOT ได้อนุมัติโครงการจัดหาเครื่องเอกซเรย์ลักษณะนี้ เมื่อเดือน มิ.ย. 2559 โดยวิธีพิเศษ กรณีจัดหาจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง หรือเป็นงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญโดยตรง จากบริษัท เอ็ม.ไอ.ที. โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ขายเครื่องเอกซเรย์ L3 แต่เพียงรายเดียวในไทย
อย่างไรก็ดี การตรวจจับวัตถุระเบิดในช่วงของการเริ่มต้นเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมินั้น มีการติดตั้งใช้เครื่อง CTX9000 จำนวน 26 เครื่อง พร้อมสายพานลำเลียงกระเป๋า ซึ่งเดิมเป็นของบริษัท MOPHO DETECTION ก่อนเปลี่ยนมือเป็นของบริษัท Smiths Detection (Smiths-SD)
| ยื่นหนังสือประท้วง ทอท. |
บริษัท Smiths Detection ได้ทำหนังสือประท้วงและแสดงความกังวลในการตัดสินใจเลือกระบบตรวจวัตถุระเบิดและสายพานของคณะกรรมการ ทอท. โดยส่งหนังสือถึง นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. และสำเนาเสนอประธานกรรมการบอร์ดพิจารณา ข้อกังวลความสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น และมีแนวโน้มต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น หากเปลี่ยนระบบ
บริษัท Smiths ระบุว่า TSA ซึ่งเป็นองค์กรด้านตรวจสอบความปลอดภัยของสหรัฐฯ ที่เป็นผู้ออกใบรับรองของเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด 0.5 m/s แต่ไม่พิจารณาซื้อเครื่องยี่ห้อใดเลย ที่ความเร็ว 0.5 m/s
อย่างไรก็ดี Smiths ขายเครื่อง 0.5 m/s ได้มากที่สุด ประมาณ 174 เครื่อง ส่วนคู่แข่ง คือ เครื่องยี่ห้อ (L3-MV3D) ขายได้ไม่เกิน 50 เครื่อง
“TSA ดูแลสนามบินทั่วอเมริกา ยังไม่เคยเปลี่ยน CTX9400 แม้สัก 1 เครื่อง ที่เป็นเครื่องความเร็ว 0.5 m/s ยี่ห้อใด ๆ ที่ TSA รับรองแล้ว แม้กระทั่ง ยี่ห้อ Smiths ที่ขายมากที่สุด ในความเร็ว 0.5 m/s ซึ่งขายไปแล้ว 174 เครื่อง”
| เสี่ยงปรับสเปกความเร็ว |
บริษัทเป็นกังวลว่า เจ้าหน้าที่ของไทยจะตัดสินใจผิดอย่างมาก ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาจากสิงคโปร์ ใช้เครื่องที่ความเร็ว 0.5 m/s จะใช้ส่วนใหญ่ในการสแกนกระเป๋าระบบ Stand Alone หรือใช้เดี่ยว ๆ ไม่ได้ใช้ในระบบ Inline หลายเครื่องเหมือนแบบสุวรรณภูมิ แต่เหมาะสมกับ Oversized Bag
“แม้ TSA รับรอง แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ซื้อไปแล้วจะใช้ได้ดีที่สุด หรือมีปัญหาในการ Integrate ไม่เสียบ่อย ไม่ต้องหยุดเครื่องซ่อมบ่อย ๆ เหมือนกับที่มีเครื่อง L3 อยู่ 4 เครื่อง ซึ่งเสียบ่อยมาก”
| เสี่ยงสูญเงินก้อนโต! เปลี่ยนระบบสายพาน |
Smiths ขอให้ ทอท. พิจารณาว่า ทอท. เคยใช้ CTX มาเป็นเวลา 11 ปี แล้วเหตุใดต้องเสี่ยงเปลี่ยนเป็นเครื่องความเร็ว 0.5 m/s ที่ไม่เคยใช้งาน และไม่มีสนามบินที่ไหนทำการเปลี่ยนแบบนี้
“เราไม่ได้ห่วงเรื่องขายของ เพราะเราก็มีเครื่อง 0.5 m/s ที่ดีที่สุด และขายดีที่สุด แต่ไม่เข้าใจและรู้สึกเสียดาย ที่ ทอท. มีระบบที่ดีที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่เปลี่ยนรุ่นใหม่ หรืออัพเกรดเข้าไป ไม่ต้องเสี่ยงปรับเปลี่ยนระบบสายพาน ซึ่งต้องเสียเงินมาก และใช้เวลานาน และเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะถูกปรับ และถูกตำหนิจากสายการบินและผู้โดยสารหากล่าช้า”
| ชี้! สนามบินใหญ่ล้วนใช้ CTX |
ในหนังสือที่เสนอ ทอท. ยังระบุว่า สนามบินในอเมริกาที่อยู่ภายใต้การกำกับของ TSA Homeland Security ทุกสนามบินได้ทยอยเปลี่ยนเครื่องรุ่นเก่า เป็นเครื่องรุ่นใหม่ CTX9800 และสนามบินขนาดใหญ่ เช่น Heathrow และสนามบินนาริตะ
| หลงตามที่ปรึกษาสิงคโปร์ |
นอกจากนี้ ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การที่ ทอท. ทำตามข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาจากสิงคโปร์ 4 โครกงาร ที่ใช้เงินงบประมาณดำเนินการ เช่น โครงการ TBT (Transfer Bag) มูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท และจะขอเงินแก้ไขอีก 700 ล้านบาท โครงการระบบสายพานสนามบินภูเก็ตที่เพิ่งเปิดใช้มาประมาณแค่ 2 ปี
โครงการออกแบบระบบสายพานจาก Terminal ไป Satellite มูลค่าเกือบ 4 พันล้านบาท ออกแบบให้ใช้เครื่องเอกซเรย์ธรรมดา ราคากว่า 3 ล้านบาท ที่ไม่สามารถตรวจจับวัตถุระเบิดได้ในการตรวจ Oversized Bag
ซึ่งจะทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยสู้ไม่ได้กับสนามบินนานาชาติคู่แข่งในอาเซียนด้วยกัน
“โครงการออกแบบเปลี่ยนเครื่อง CTX จำนวน 26 เครื่อง ที่ใช้งานมา 11 ปี อย่างมีประสิทธิภาพราบรื่น ไม่เคยมีแม้สักวันเดียวที่ระบบรวนมีปัญหาจนทำให้สนามบินสุวรรณภูมิต้องเสียหาย
แต่จะออกแบบเปลี่ยน CTX9400 เป็นระบบความเร็ว 0.5 m/s ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน แม้กระทั่งประเทศผู้ผลิต ซึ่งเป็นประเทศที่ออกใบรับรอง TSA คือ อเมริกา ที่เป็นประเทศผู้นำทางด้านความปลอดภัย”
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,318 วันที่ 30 พ.ย. - 2 ธ.ค. 2560 หน้า 01 และ 02