มหาเศรษฐี‘เรย์ ดาลิโอ’ ถือหน่วย SPDR เพิ่ม 7 เท่าในไตรมาส 3

25 พ.ย. 2560 | 05:20 น.
MP18-3316-1A มหาเศรษฐีผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่าง เรย์ ดาลิโอ ไม่เพียงแต่แนะนำให้ลงทุนในทองคำเท่านั้น แต่กองทุนของเขาได้ทำการถือครองหน่วยลงทุนใน ETF ทองคำในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นหลายเท่าจากไตรมาสก่อนหน้า ด้านจอห์น พอลสัน ผู้ก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ Paulson & Co ยังคงมีการถือครองหน่วยลงทุนในกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง SPDR ในไตรมาส 3 ด้านสำนักข่าว Bloomberg เปิดเผยข้อมูลโดยอ้างอิงจากรายงาน 13F ซึ่งเป็นรายงานที่ผู้จัดการการเงินที่ดูแลเงินทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ต้องยื่นแบบฟอร์มภายใน 45 วันนับจากวันสิ้นไตรมาสต่อก.ล.ต.ของสหรัฐฯ เพื่อแสดงรายการหุ้นที่ถือครอง บ่งชี้ว่าในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่สุดของโลกที่มีนายเรย์ ดาลิโอ เป็นเจ้าของมีการเพิ่มการถือครองหน่วยลงทุนใน SPDR เกือบ 7 เท่าและเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน iShares Gold Trust มากกว่า 3 เท่าจากไตรมาสก่อนหน้า โดยในเดือนสิงหาคมดาลิโอเคยแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนทองคำในสัดส่วน 5-10% ของสินทรัพย์การลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ

MP18-3316-2A ทางด้านมหาเศรษฐีผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่างนายจอห์น พอลสัน ยังคงการถือครองหน่วยลงทุนในกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง SPDR โดย ณ สิ้นสุดเดือนกันยายน Paulson & Co ถือครองหน่วยลงทุนใน SPDR 4.36 ล้านหน่วยซึ่งถือว่าไม่เปลี่ยนแปลงจาก 3 เดือนก่อนหน้าที่สิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ซึ่งพอลสัน เริ่มต้นการลงทุนในทองคำในช่วงต้นปี 2009 โดยคาดการณ์ด้วยว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นหลังธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และทองคำก็พุ่งขึ้นจริงราว 70% จากเดือนธันวาคม 2008 จนถึงเดือนมิถุนายน 2011 เนื่องจากเฟดเดินหน้าเข้าซื้อพันธบัตรและปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมสู่ระดับใกล้ 0 โดยเครื่องมือที่พอลสันใช้ในการลงทุนทองคำก็คือ กองทุน SPDR นั่นเอง

เรียกได้ว่าการเข้าถือครองหน่วยลงทุนใน SPDR ของดาลิโอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าดาลิโอเห็นประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนไปยังทองคำจริง และจากการตรวจสอบย้อนหลังกลับไป 30 ปีของคอลัมนิสต์จาก Bloomberg พบว่าพอร์ตการลงทุนที่มีหุ้น/ตราสารหนี้/ทองคำในสัดส่วน 55/35/10 ให้ผลตอบแทนมากกว่าพอร์ตการลงทุนที่มีแค่หุ้น/ตราสารหนี้ในสัดส่วน 60/40 อยู่ประมาณ 0.55% ต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งในกรอบเวลา 30 ปีสัดส่วนเพียงครึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปีก็สามารถเพิ่มพูนเงินเป็นจำนวนมากได้เช่นกัน และนอก จากเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวแล้วนั้น การบรรจุทองคำเข้าไปอยู่ในพอร์ตการลงทุนจะช่วยนักลงทุนให้สามารถลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและลด drawdown หรือการลดลงของเงินทุนที่เกิดจากการขาดทุนของพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,316 วันที่ 23 - 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว