‘คลัง'เผย ‘ครม.’ มีมติ กู้เงิน ‘ADB’ 3.4 พันล้าน สร้างถนนสายอีสาน

22 พฤศจิกายน 2560
"คลัง" เผย "ครม." มีมติกู้เงิน 99.40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,404 ล้านบาท สร้างถนนทางหลวงสายอีสานหมายเลข 22, 23

กระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ ว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงการคลังได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เรื่อง เงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงอำเภอหนองหาน - อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงสกลนคร - นครพนม (กิโลเมตรที่ 180 - 213) และทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด - ยโสธร (โครงการฯ) เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่กรมทางหลวงดำเนินโครงการฯ ร่วมกับเงินงบประมาณ วงเงินรวม 6,808 ล้านบาท ในสัดส่วน 50 : 50 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้โครงการฯ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงิน

ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก ADB สำหรับโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสรุปรายละเอียดเงื่อนไขร่างสัญญาเงินกู้ ดังนี้

1. กรอบวงเงิน 99.40 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับ 3,404 ล้านบาท

2. อายุเงินกู้ 13 ปี รวมระยะเวลาปลอดหนี้ (Grace Period) 3 ปี

3. อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6MLIBOR + Spread – Rebate ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 6MLIBOR เท่ากับ ร้อยละ 1.63 ต่อปี Spread เท่ากับร้อยละ 0.50 ต่อปี Rebate เท่ากับร้อยละ 0.05 ต่อปี)

วิทยุพลังงาน 4.ค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ (Commitment Charge) ร้อยละ 0.15 ต่อปี

5.กำหนดเบิกจ่ายเงินกู้ในคราวเดียวทั้งจำนวน โดยจะดำเนินการแลกเปลี่ยนเงินกู้จากสกุลเงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินบาท และดำเนินการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย (Cross Currency Swap : CCS) และกระทรวงการคลังจะทยอยเบิกจ่ายเงินกู้ ให้แก่ผู้รับจ้างก่อสร้าง และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างตามความก้าวหน้าและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงของโครงการฯ ต่อไป

กระทรวงการคลัง กรมทางหลวง และ ADB จะร่วมกันติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการฯ และตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และครบถ้วนตามมาตรฐานการเบิกจ่ายของ ADB

ในส่วนของแผนดำเนินโครงการฯ ซึ่งมีกำหนดการเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนกรกฎาคม 2561และมีระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 4.5 ปี โดยเมื่อกรมทางหลวงดำเนินโครงการฯ แล้วเสร็จจะเป็นการพัฒนาโครงข่ายถนนสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงอาเชียน (AH) ในส่วนที่ผ่านประเทศไทย เพื่อให้สามารถเดินทางและขนส่งสินค้าเชื่อมโยงไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East – West Economic Corridor : EWEC) ที่คาดว่าจะมีปริมาณจราจรเพิ่มสูงขึ้นจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ซึ่งสอดคล้องตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ในด้านการพัฒนาด้านการขนส่งและโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว