ยามาฮ่าดัน‘ฟินน์’ เพิ่มแชร์รถครอบครัว10%

21 พ.ย. 2560 | 11:10 น.
ยามาฮ่าฟุ้งยอดขาย 10 เดือนปีนี้วิ่งฉิว ส่ง “ฟินน์” อุดช่องว่างเซ็กเมนต์รถครอบครัว พร้อมจัดงบการตลาดเกือบ 100 ล้าน มั่นใจช่วยดันส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มนี้ 10%

นายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายของยามาฮ่าตั้งแต่มกราคม - ตุลาคม 2560 เติบโต 13% และจนถึงสิ้นปีคาดว่าจะทำยอดขายได้ 3 แสนคัน เติบโต 18% แบ่งสัดส่วนการขายออกเป็น รถเอที 1.72 แสนคัน ,รถสปอร์ต 7.3 หมื่นคัน และรถครอบครัว(โมเพ็ด) 5.5 หมื่นคัน หรือหากคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของยามาฮ่าในปี 2560 จะแบ่งเป็น สปอร์ต 24%, เอที 28.2% และ ครอบครัว 6.1%

โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากรถรุ่นใหม่ที่ได้เปิดตัวสู่ตลาดอย่างยามาฮ่า ฟินน์ ในขณะที่รถรุ่นก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะเป็น เอ็ม-สแลซ,อาร์15,อาร์3, แกรนด์ ฟิลาโน่, เอ็นแม็กซ์, แอร็อกซ์, คิวบิกซ์, เอ็กซ์แมกซ์ ก็ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์รวมในปีนี้คาดว่าจะมียอดจดทะเบียน 1.8 ล้านคัน เติบโต 3%

MP33-3315-1A “ต้นปีเรามองว่าตลาดจะโตนิดหน่อย และตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.75 ล้านคัน สำหรับตลาดรถจักรยานยนต์รวม และยามาฮ่าจะขายได้ 2.85 แสนคัน เติบโต 14% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่ทำได้ 2.47 แสนคัน อย่างไรก็ตามเมื่อดูตัวเลข 6 เดือนของปีนี้ ตลาดรวมโต 4% ในขณะที่เราโต 14% ทำให้เรามีการปรับเป้าหมายการขาย ประกอบกับเรามีรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวผลักดันให้เราไปถึงเป้าหมายใหม่ได้อย่างแน่นอนในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้”

โดยยามาฮ่าเพิ่งทำการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ “ฟินน์” รถครอบครัว (โมเพ็ด) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สนนราคาช่วงแนะนำ 39,900-44,500 บาท ซึ่งยามาฮ่าได้ทุ่มงบประมาณทางการตลาดของรถรุ่นนี้เกือบ100 ล้านบาท มีการนำศิลปินวง ROOM39 มาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ผ่านภาพยนตร์โฆษณา 4 เวอร์ชัน และยามาฮ่ายังจัดกิจกรรมโรดโชว์กว่า 2,000 ครั้ง ภายใต้ชื่อ “FINN World” พร้อมทั้งจัดโปรโมชันสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถฟรีหมวกกันน็อก FINN 2 ใบ

ยามาฮ่าคาดว่าจนถึงสิ้นปีส่วนแบ่งการตลาดของรถในกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 6.1 % จากเดิมที่มี 5 % และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 10%

“การพัฒนารถแต่ละรุ่นใช้เงินเยอะและต้องใช้เวลา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราพัฒนารถเอที, รถสปอร์ตส่วนรถในกลุ่มครอบครัว เรามีเพียงสปาร์ค ที่เปิดตัวมากว่า 9 ปีแล้ว และมียอดขาย 2,000 คันต่อเดือน หรือมีส่วนแบ่งเพียง 5% ขณะที่ตลาดรวมของรถครอบครัวในไทยมีสัดส่วนกว่า 45 -49% หรือคิดเป็นยอดขายต่อเดือนคือ 6.5 หมื่นคัน ดังนั้นเราจึงทำการพัฒนารถรุ่นใหม่ “ฟินน์” ออกมา และให้ความสำคัญในการทำตลาด จะเห็นจากการทุ่มงบเกือบ 100 ล้านบาท ซึ่งสูงมากในรอบ 10 ปี เพราะปกติรถแต่ละรุ่นที่เปิดตัวจะใช้งบประมาณราว 30 -40 ล้านบาท และในล็อตแรกที่ได้ส่งรถให้กับดีลเลอร์ ก็มีตัวเลขกว่า 7,000 คันแล้ว”

นายประพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าว่า ถือเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และสุดท้ายก็คงมา คาดว่าอาจจะเห็นใน 3 -5 ปี ปัจจุบันยามาฮ่ามีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายที่ ไต้หวัน, ญี่ปุ่น และจีน แต่สำหรับยามาฮ่าในไทยจะมีการนำรถเข้ามาจำหน่ายหรือไม่นั้น ก็ต้องรอดูนโยบายบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงหากจะทำตลาดรถไฟฟ้าคือ การชาร์ตต่อครั้งใช้เวลานานแค่ไหน อาจจะใช้ 8 ชั่วโมง หรือควิก ชาร์จ ใช้เวลาเท่าไร ประการต่อมาคือความจุ ของแบตเตอรี่ว่าจะวิ่งนานแค่ไหน ซึ่งยามาฮ่ามีรุ่นอี-วีโน่ที่วิ่งได้ 40 กิโลเมตร แต่ในเมืองไทยมองว่าควรจะวิ่งได้สัก 100 กิโลเมตรถึงจะเหมาะสม และสุดท้ายคือ ท็อปสปีด สำหรับของอี-วีโน่ วิ่งได้ 40-45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอันตรายหากจะใช้วิ่งบนท้องถนนในประเทศไทย แต่ก็ต้องรอดูกฎหรือเงื่อนไขที่กำลังมีการพิจารณาจากกรมการขนส่งที่กำลังมีการทบทวนและพิจารณาเรื่องนี้

“รถไฟฟ้าต้องดูหลายอย่าง ถามว่าวันนี้เราพัฒนาไหมก็พัฒนาอยู่ เช่นเดียวกับคู่แข่งก็มีการพัฒนา สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น ภายใน 3 ปี 5 ปี ก็คงได้เห็น แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่รัฐบาลจะออกกฎยังไงมากกว่า สำหรับเราเองมีอี-วีโน่ ที่ขายอยู่ในญี่ปุ่นและไต้หวัน แต่ยอดขายก็ยังน้อย หรือหากนำมาทำตลาดในไทย ถ้าดูเฉพาะต้นทุนตัวรถก็ 7 หมื่นบาทแล้ว ส่วนแบตเตอรี่ก็ลูกละเกือบ 3 หมื่นบาท รวมๆแล้วต้นทุนยังถือว่าสูงมาก”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,315 วันที่ 19 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว