‘บัวหลวง’เล็งหุ้นธุรกิจใหม่ ธุรกิจสปา-ขนม-ชากาแฟ ชี้อนาคตรุ่งลงทุนยาว

21 พ.ย. 2560 | 06:06 น.
บลจ.บัวหลวงฯ ปรับพอร์ตทำกำไรหุ้นขาขึ้น เล็งธุรกิจใหม่น่าสนใจ เช่น ธุรกิจสปา ขนมหวาน ชากาแฟ มองตลาดหุ้นปี 61 สดใส กำไรบจ.โต 10% ลุ้นดีเกินคาด หนุนดัชนี 1,900 จุด

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้กองทุนบัวหลวงปรับพอร์ตขายทำกำไรในหุ้นบางตัวออกมาบางส่วนและเลือกหาหุ้นที่ราคายังไม่แพง โดยเฉพาะหุ้นที่ทำธุรกิจใหม่ๆ เนื่องจากในพอร์ตมีการลงทุนในหุ้นหลักๆ ใน SET 50 อยู่แล้ว โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แต่อย่างใด

[caption id="attachment_232489" align="aligncenter" width="318"] พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา[/caption]

ส่วนกรณีกองทุนบัวหลวงรายงานแบบการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ค่อนข้างถี่ เนื่องจากกองทุนบัวหลวงมีเงินลงทุนในหุ้นประมาณ 2 แสนล้านบาท จากกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมดังนั้นการซื้อหรือขายในแต่ละครั้งก็ทำให้หุ้นหลายตัวแตะผ่านทุก 5% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

“ตอนนี้เริ่มมองหาธุรกิจใหม่ๆ และได้เข้าลงทุนแล้วบ้าง เช่น โรงนวด (ธุรกิจสปา) โรงนํ้าชา (ขนมหวาน ชากาแฟ) ซึ่งบริษัทที่ทำธุรกิจใหม่ๆ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กหุ้นน้อยบางครั้งจึงเข้าเจรจาขอซื้อหุ้นเป็นล็อต เพื่อถือลงทุนระยะยาว เนื่องจากมั่นใจในธุรกิจ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของกิจการ แต่บางช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งแรง เมื่อเทียบมูลค่าเหมาะสม ก็อาจลดสัดส่วนลงมาบ้าง แต่เป้าหลักยังลงทุนระยะยาว “นายพีรพงศ์ กล่าว

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ซึ่งกำลังดูว่ากำลังซื้อของประชาชนฟื้นกลับมาอย่างถาวรหรือไม่ ขณะที่กลุ่มการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อธุรกิจโรงพยาบาลที่จับกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังเป็นโอกาสในการลงทุน แต่ต้องเฟ้นหาหุ้น เนื่องจากราคาขึ้นมามากแล้ว

นายพีรพงศ์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2561 ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 1,800 จุด ตามการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 3.8-4% และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 10% กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 110 บาท รวมทั้งมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น หากปัจจัยทั้งหมดเป็นไปตามคาดโอกาสที่จะเห็นดัชนี 1,900 จุด ก็เป็นไปได้ถ้ากำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นแตะ120บาท ระดับพี/อี 19 เท่าซึ่งขึ้นอยู่กับผลประกอบการกับความคาดหวังของนักลงทุนในอนาคต แต่ในภาพรวมตลาดหุ้นยังมีสัญญาณที่ดี แต่ต้องติดตามร่างพ.ร.บ.จะออกมาตามกรอบเวลาที่กำหนดหรือไม่และหากเลือกตั้งเกิดขึ้นตามโรดแมปจะยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ

บาร์ไลน์ฐาน ทั้งนี้ นับตั้งแต่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,600 จุด เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา บลจ.บัวหลวงฯซื้อขายหุ้นจนแตะระดับ 5% ที่ต้องรายงานก.ล.ต.ตามแบบ 246-2 มีจำนวน 15 รายการ โดยเป็นการซื้อหุ้น 10 รายการและขายหุ้น 5 รายการ เริ่มจากวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ซื้อหุ้น BPP สัดส่วน 0.18% ถือหุ้นเพิ่มเป็น 5.02% วันที่ 30 สิงหาคม 2560 ซื้อหุ้น NETBAY สัดส่วน 0.03% ถือเป็น 10%

วันที่ 1 กันยายน 2560 ขายหุ้น NETBAY สัดส่วน 0.15% เหลือถือหุ้น 9.91% วันที่ 5 กันยายน 2560 ซื้อหุ้น UVสัดส่วน 0.34% ถือเพิ่มเป็น 5.13% วันที่6กันยายน2560ซื้อหุ้น SPA สัดส่วน 5.96%ถือเพิ่มเป็น6.47% วันที่ 18 กันยายน2560ขายหุ้นUVสัดส่วน 0.01%เหลือถือหุ้น 4.99% วันที่ 29 กันยายน 2560 ซื้อหุ้นSAMTEL สัดส่วน 0.22% ถือเพิ่มเป็น 10.19% และซื้อหุ้น MC สัดส่วน 0.35% ถือเพิ่มเป็น 10.21%

นอกจากนี้วันที่ 9 ตุลาคม 2560 ขายหุ้น DTAC สัดส่วน 0.02% เหลือถือ 4.98% วันที่ 12 ตุลาคม 2560 ขายหุ้น BLA สัดส่วน 0.07% เหลือถือ 9.94% วันที่ 16 ตุลาคม 2560 ขายหุ้น AMATA สัดส่วน 0.19% เหลือถือ 4.82% วันที่ 18 ตุลาคม 2560 ซื้อหุ้น FN สัดส่วน 0.35% ถือเพิ่มเป็น5.01% วันที่ 30 ตุลาคม 2560 ซื้อหุ้น UTP สัดส่วน 0.64% ถือเพิ่มเป็น 5.58%

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ซื้อหุ้นSCNสัดส่วน0.14%ถือเพิ่มเป็น 10.06%และล่าสุดวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 ซื้อหุ้นTHRELสัดส่วน0.83%ถือเพิ่มเป็น 10.64%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,315 วันที่ 19 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว