ดังนั้น การปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” ในแง่ตัวบุคคลใครมาใครไป ไม่น่าสนใจเท่ากับการวิเคราะห์ว่า ครม.ประยุทธ์ 5 จะเป็นตัวชี้วัดอนาคตการเมืองของรัฐบาลทหาร ที่จะสืบทอดและรักษาอำนาจต่อไปอย่างไร เพราะการปรับครม.ในโค้งสุดท้ายของโรดแมป ย่อมคิดไปอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการปรับเพื่อรับมือกับ “โหมดเลือกตั้ง” ที่กำลังจะเกิดขึ้น
น่าสนใจตรงที่การเดินเกมทางการเมืองของ “รัฐบาลทหาร” ขณะนี้ เป็นการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองจากพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะในขณะที่ผ่านพ้น “งานสำคัญของประเทศ” มีกฎหมายพรรคการเมืองใช้แล้ว แต่คสช.ยังไม่ยอมปลดล็อกให้ทุกพรรคการเมืองทำกิจกรรมทุกรูปแบบ พรรคการเมืองประชุมพรรคเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายใหม่ไม่ได้ พรรคการเมืองไม่สามารถทำกิจกรรม “หาเสียง” ในรูปแบบการช่วยเหลือประชาชนในภัยพิบัตินํ้าท่วม ไม่ได้เลย ผิดกับคณะรัฐมนตรีในปัจจุบันที่รู้กันว่ามีหลายคนคิดตั้งพรรค หรือร่วมกับพรรคการเมืองบางพรรคในอนาคต สามารถใช้อำนาจรัฐหาเสียงเหล่านี้ได้ จึงเสมือนเป็นการเอาเปรียบเขามากไป
ระยะหลัง เราเห็น “ลุงตู่” ทำตัวไม่แตกต่างจากนักการเมืองในการลงพื้นที่ ทั้งร้องรำทำเพลง เล่นลิเก เรียงหิน (เหมือนนักการเมืองที่ยอมทำทุกสิ่งเพื่อหวังคะแนนนิยม) ก่อนที่จะเกิด 6 คำถาม ที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองฟันธงว่าเป็นคำถามที่จะนำไปสู่การตั้งหรือรวมพรรคการเมืองของรัฐบาลลุงตู่ ต่อไป
ถึงเวลาที่คสช.ควรทบทวนการปลดล็อกพรรคการเมือง ที่ต้องให้เขาสามารถทำกิจกรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้ อย่าไปเชื่อ “ที่ปรึกษา” บางคนที่อาจจะทำให้อำนาจ คสช.ล้มครืนลง ต้องตั้งสติเสมอว่าอำนาจที่ได้มาของคสช.ครั้งนี้ หาใช่มาจากปลายกระบอกปืนเป็นสำคัญ แต่มาจาก “ฉันทานุมัติ” ของสังคม ที่เห็นถึงความล้มเหลวของภาคการเมือง ที่สมควร “ถูกเว้นวรรค” เพื่อจัดระเบียบใหม่
เมื่อจัดระเบียบเรียบร้อยผ่านกลไกรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ก็มิควรมีข้ออ้างใดๆ เพื่อหวังเอาเปรียบเขาอีก เพราะถ้าคิดเอาเปรียบเขามากไป ระวัง “ความชอบธรรม” ของคสช.ในการถือสิทธิจัดระเบียบจะหมดไปโพลล์ทุกสำนักที่สำรวจมาจึงชี้ตรงกันว่าประชาชนเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรปลดล็อกทางการเมืองให้พรรคการเมืองเขาได้แล้ว ด้วยคะแนนสำรวจมากกว่า 60% พล.อ.ประยุทธ์ จึงควรทบทวนเรื่องนี้
.......................