การเกิดขึ้นของ
"โครงการก้าวคนละก้าว ครั้งที่ 2 เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประทศ" ด้วยการวิ่งของนักร้องดัง ตูน บอดี้สแลม จาก อ.เบตง จ.ยะลา ไปถึง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระยะทาง 2,191 กิโลเมตร จัดหาเงินบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาลศูนย์ 11 แห่งทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 700 ล้านบาท
ซึ่งเริ่มวิ่งมาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2560 ได้ดำเนินมาเข้าสู่วันที่ 14 ของการวิ่ง และกำลังดำเนินไป เป็นกระแสข่าวที่ได้รับความสนใจสนับสนุนอย่างท่วมท้น จากมหาชนคนไทยทั้งประเทศในขณะนี้ กลายเป็น
"ปรากฎการณ์ ตูน บอดี้สแลม" ที่ทำให้พวกที่เอาแต่วิจารณ์ค่อนแคะ ถากถางคนอื่น ประเภทมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ต้องหุบปากเงียบ
เมื่อเจอกับกระแสสังคมที่ต่างแสดงออกถึงความชื่นชม และยินดีเข้าร่วมสนับสนุนการกระทำที่เสียสละอย่างใหญ่หลวง ของนักร้องดังที่คิดดีทำดี เสียสละโดยเอาชีวิตและร่างกายของตนเป็นเดิมพัน ชนิดที่มิได้หวังผลประโยชน์เพื่อตนเองแม้แต่น้อย สร้างผลสะเทือนใจต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนทั้งหลายทั้งแผ่นดินต่างหลั่งไหลออกมาต้อนรับ และร่วมบริจาคเพื่อให้โครงการก้าวคนละก้าว ประสบผลสำเร็จ ปรากฎการณ์ของตูน บอดี้สแลม จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
การที่นิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ1 จากมหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับ1 ของประเทศ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังเป็นศิลปินนักร้องดังของประเทศ ตัดสินใจยอมเหนื่อยยากลำบาก ทำในสิ่งที่บุคคลทั่วไปน้อยนักจะกล้าตัดสินใจทำ เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดา งานเช่นนี้ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ และมีปณิธานอันแรงกล้าอย่างยิ่ง เท่านั้นจึงจะทำการสำเร็จ
และวันนี้เขากำลังวิ่ง และวิ่งไปตามเส้นทางฝันกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดั่งบทเพลง
"เรือเล็กควรออกจากฝั่ง" ของตูน บอดี้สแลม ที่เขาเป็นผู้แต่งและขับร้อง ซึ่งผู้เขียนขอคัดมาบางส่วนดังนี้ครับ...
มองจากภูมิหลังชีวิต ความมุ่งมั่นตั้งใจ รายละเอียดและวัตถุประสงค์ของโครงการก้าวคนละก้าว และแนวคิดอุดมคติของตูน ผ่านเนื้อหาบทเพลง ประกอบชื่อเสียงผลงานและความดีที่เขาทำและมอบแก่สังคม ผู้คนในสังคมล้วนเชื่อถือศรัทธา ไม่มีข้อสงสัยคลางแคลงใจ ต่อการกระทำของตูน บอดี้สแลม แม้แต่น้อย
ผลและกระแสตอบรับเราจึงได้ภาพความรัก ความสามัคคี ความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนาโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ สีผิว ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวสนับสนุนโครงการของตูนทั่วทั้งประเทศ กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเชื่อว่า จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน ผู้เขียนก็ขอแสดงความชื่นชมและขอให้กำลังใจให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายทุกประการ
เหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการก้าวคนละก้าว ย่อมเริ่มจากผู้นำที่ริเริ่มโครงการเป็นที่รักเป็นที่ศรัทธาเชื่อถือของมหาชน เนื้อหาโครงการและวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเพื่ออะไร ใครได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้และการกระทำเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าว เป็นไปด้วยความสุจริต เสียสละ ไม่มีประโยชน์ส่วนตนแอบแฝง และสุดท้ายเป็นโครงการที่ทำให้ทุกคนเข้าร่วมด้วยได้ตามกำลังความสามารถของตน ด้วยความสมัครใจ
นี่คือปรากฎการตูน บอดี้สแลม ในมุมมองของผม
ทำไมจึงต้องนำมาเปรียบเทียบกับรัฐบาล คสช.เล่า ผู้เขียนมิได้มีเจตนานำมาเปรียบเทียบหรือพูดให้เกิดความเสียหายครับ แต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ทราบข่าวว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ด้านการปฏิรูปทางการเมืองมีการประชุมหารือและมีดำริจะนำรูปแบบการดำเนินโครงการก้าวคนก้าว มาใช้กับการจุดกระแสสังคมให้ประชาชนหันมาร่วมกันปฏิรูปบ้านเมืองของเรา
โดยอาจจะเสนอให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้เป็นแนวทางซึ่งผู้เขียนฟังจากคณะกรรมการท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อแล้ว ก็รู้สึกชื่นชมและเห็นด้วยในแนวคิด ซึ่งโดยหลักการการบริหารบ้านเมือง หรือการดำเนินโครงการงานใหญ่ๆของประเทศ ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นคือ ควรแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน ให้ประชาชนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วม กิจการงานสำคัญใดๆก็จะประสบผลสำเร็จ
แต่เมื่อฟังความคิดของท่านกรรมการปฏิรูปโดยตลอดแล้ว ผู้เขียนก็มีความเห็นแย้งและตั้งเป็นคำถามในใจขึ้นมาโดยทันทีว่า รัฐบาล คสช.จะทำเรื่องใหญ่ในการปฏิรูปประเทศ ได้สำเร็จหรือไม่? และช่วงเวลานี้ความศรัทธาของประชาชน ต่อรัฐบาลและท่านายกรัฐมนตรี จะมีพลังศรัทธามากพอที่จะปลุกกระแสความร่วมมือจากประชาชน จนเกิดเป็นพลังดั่งเช่นตูน บอดี้สแลมได้หรือไม่
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของรัฐบาล ณ เวลานี้แล้ว คงยากที่จะปลุกกระแสสร้างความศรัทธาและความนิยมในตัวรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนหันมาร่วมมือกับรัฐบาล เหตุที่ผู้เขียนมีมุมมองเช่นนั้นก็ด้วยความปารถนาดีต่อรัฐบาล เพราะสามปีเศษของรัฐบาลคสช.ความนิยมศรัทธาเสื่อมถอยลงเรื่อยตามผลสำรวจความนิยม
ผลงานและการบริหารเริ่มถูกตั้งคำถามมากมาย โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ต้องมีการปรับเปลี่ยน ครม.ครั้งใหญ่ ประกอบกับบุคคลิกภาพของท่านนายกรัฐมนตรี ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังมิใช่ผู้นำอันเป็นที่รักของมหาชน เหมือนนักร้องซุปเปอร์สตาร์ดัง เนื้อหาการปฏิรูปประเทศไม่ชัดเจน เป็นเรื่องการเมืองซับซ้อนที่มีผลประโยชน์ได้เสียไม่เป็นหนึ่งเดียว
บวกกับข้อสงสัยในการบริหารประเทศหรือนโยบายของรัฐบาลว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ใครด้วยแล้ว จึงเป็นคนละเรื่องและคนละบริบท ซึ่งหากจะทำเรื่องนี้ควรดำเนินการในช่วงแรกๆของ คสช.ที่ความนิยมศรัทธาสูงลิ่ว หากคิดจะมาทำยามนี้ คงสายเสียแล้วครับ ควรคิดถึงทางลงอย่างไรให้Solf Landing น่าจะดีที่สุด สำหรับรัฐบาลทหาร
...........................................
คอลัมน์ : ข้าพระบาท ทาสประชาชน / หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3314 ระหว่างวันที่ 16-18 พ.ย.2560