กลุ่มเยาวชน เครือข่ายฯปฏิรูปสลาก บุกทำเนียบ เรียกร้องนายกฯ ใช้ยาแรงแก้ปัญหาสลากแพงเกลื่อนเมือง หลังสลากแพงคืนชีพ ผลสำรวจพบ 89.9% ขายเกินราคา เฉลี่ยใบละ130 บาท รวมชุด15 ใบ พุ่ง 2,500 บาท ตกใบละ167 บาท เชียร์โค้งสุดท้ายสาวให้ถึงต้นตอ ฟันกลไกเอื้อพ่อค้าคนกลางเด็ดขาด ต้นเหตุปัญหา ซ้ำยังบ่มเพาะค่านิยมเด็กและเยาวชนยอมรับการโกง
วันนี้(14 พ.ย.60) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายราเมศร ศรีทับทิม ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลากฯ พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน นำกลุ่มนักเรียน นักศึกษาจากหลายสถาบัน กว่า30คน เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลออกมาตรการที่เด็ดขาดในการแก้ปัญหาสลากแพง ภายหลังผลสำรวจ พบว่า มีผู้ค้าขายสลากเกินราคาที่กฎหมายกำหนดจำนวนมาก
นายราเมศร ศรีทับทิม ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลากฯ กล่าวว่า จากกรณีการจับกุมกลุ่มพ่อค้า แม่ค้าที่จำหน่ายสลากฯเกินราคา กว่า 60 ราย บางรายยอมรับว่า รับสลากมาในราคาสูงกว่า80บาทจริง ซึ่งรับมาเป็นเล่มในราคาเฉลี่ยใบละ 82-85 บาท แล้วแต่จังหวะงวดนั้นๆจึงจำเป็นต้องขายใบละ90-100 บาท นอกจากนี้ เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลาก ยังได้ลงพื้นที่สำรวจการขายสลากในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 4–12 พ.ย.ใน 28 พื้นที่ ได้แก่ สี่แยกคอกวัว ตลาดมีนบุรี ตลาดบางใหญ่ ตลาดรังสิต ตลาดนัดสวนจตุจักร ปากเกร็ด นนทบุรี บางกะปิ บางนา ปิ่นเกล้า เป็นต้น พบผู้ขายสลากทั้งหมด 328 ราย มีทั้งเร่ขายและแผงประจำ โดยพบว่ามีการขายเกินราคาจำนวน 295 ราย คิดเป็น 89.9%จากจำนวนทั้งหมด และยังพบสลากใบเดี่ยวราคาแพงสุดอยู่ที่ใบละ 130 บาท ส่วนการรวมชุดแพงสุด คือ ชุด 15 ใบ ราคา 2,500 บาท เฉลี่ยราคาใบละ 167 บาท สลากที่ขายเกินราคาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบการรวมชุด เกือบทุกร้านมีป้ายราคาขาย 80 บาท แต่ขายจริงกลับขายเกินราคาทั้งเร่ขายและแผงประจำ
“จากการลงพื้นที่และพูดคุยกับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าสลาก พบว่า สาเหตุของการขายสลากแพงนั้น บางรายอ้างว่าไม่ได้รับโควต้าการจองสลาก ไม่มีเงินคงเหลือในบัญชีมากพอตามหลักเกณฑ์ที่จะสามารถซื้อ หรือ จองสลากล่วงหน้าผ่านระบบธนาคาร จึงต้องรับสลากจากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งมีทั้งสลากใบ และสลากรวมชุดในราคาที่แพงกว่ากฎหมายกำหนด บางรายอ้างว่ารับมาใบละ85บาท กลุ่มผู้ค้าสลากยังบอกด้วยว่าระยะเวลาในการขายมีน้อย อีกทั้งไม่มีการรับซื้อสลากคืน ผู้ขายต้องแบกรับภาระสลากที่ขายไม่หมดไว้เอง จึงต้องบวกราคาเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยกับสลากที่ขายไม่ได้ ซึ่งเครือข่ายฯแปลกใจว่า การที่สำนักงานสลากฯออกมาระบุว่า ไม่พบการขายสลากเกินราคานั้น ไปสำรวจจุดไหน และเป็นไปได้อย่างไร” นายราเมศร กล่าว
นายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลาก ขอแสดงจุดยืนและมีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปพิจารณา ดังนี้ 1. เครือข่ายฯ ขอให้กำลังใจรัฐบาลในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน และยังไม่มีรัฐบาลใดแก้ไขได้ ทั้งที่เป็นสินค้าของรัฐบาล ที่สำคัญปัญหานี้สะท้อนเรื่องการยอมรับค่านิยมการโกง หากปล่อยไว้จะเป็นเชื้อร้ายฝังรากลึกในสังคม ทำให้เด็กและเยาวชนยอมรับการโกงว่าเป็นเรื่องปกติซึ่งอันตรายยิ่ง 2. ขอให้พิจารณามาตรการขั้นสูงสุด แก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จ ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล ปิดทางพ่อค้าคนกลางและระบบที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่มที่เป็นเสือนอนกิน เครือข่ายฯ เชื่อว่าผู้ค้ารายย่อยเป็นเพียงปลายทางของระบบที่ฉ้อฉล เป็นแพะรับบาป ท่ามกลางการกอบโกยของคนบางกลุ่มที่ทรงอิทธิพล 3. ขอเรียกร้องให้ใช้กลไกของภาครัฐในการรณรงค์ให้ประชาชนรักษาสิทธิของผู้บริโภค ไม่สนับสนุนสลากเกินราคาทุกรูปแบบ เพราะเท่ากับการสนับสนุนการโกง ยอมรับการทุจริตคอรัปชั่น และ 4. เครือข่ายฯ ขอให้มีการกำหนดบทลงโทษกับกลุ่มคนกลาง พ่อค้าคนกลาง หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้สลากแพงทั้งระบบ รวมถึงการกำหนดมาตรการอื่นๆในการแก้ปัญหาราคาสลากแพง ไว้ให้ชัดเจนในพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง