บลจ.กสิกรไทยแนะเพิ่มลงทุนหุ้นยุโรป-เอเชีย

13 พ.ย. 2560 | 11:56 น.
บลจ.กสิกรไทย แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นยุโรป-เอเชีย ราคาถูกกว่าสหรัฐ พร้อมควักกระเป๋าจ่ายปันผล รวม 6 กองทุนต่างประเทศ กว่า 366 ล้านบาท ขานรับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

[caption id="attachment_230681" align="aligncenter" width="370"] นายนาวิน อินทรสมบัติ นายนาวิน อินทรสมบัติ[/caption]

นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนที่สนใจกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ หรือต้องการปรับพอร์ตเพื่อให้สอดรับการสภาวะตลาดในปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยุโรป และเอเชีย เพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับสมเหตุสมผลและถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ เพื่อรับโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของทั้ง 2 ภูมิภาค แต่ปัจจัยที่ผู้ลงทุนยังคงต้องติดตาม คือเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ว่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นหรือไม่ และอาจจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ และกดดันตลาดหุ้นได้ในระยะสั้น

นอกจากนี้บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 6 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) และกองทุนเปิดเค ยูโรเปียน ซิลเวอร์เอจ หุ้นทุน (K-EUSAGE) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 กองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560

กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 และกองทุนเปิดเคโกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้ (K-GEMO) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 โดยทั้ง 6 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 ตุลาคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 366 ล้านบาท

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA มีความโดดเด่นมากสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้ทุกช่วงขณะ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังในช่วง 5 ปี กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 อยู่ที่ 16.21% ต่อปีเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 14.94% ต่อปี และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงเป็นอันดับที่ 2 โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 12.77% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 10.66% ต่อปี (ที่มา : Morningstar ณ วันที่ 27 ต.ค. 2560) โดยได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นของหุ้นเติบโตในกลุ่มไอที และสินค้าฟุ่มเฟือยที่กองทุนเข้าไปลงทุน

แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ01 สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจซึ่งออกมาดีเกินคาดที่ 3% บวกกับการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำให้การขาดดุลการค้าลดลง ทั้งนี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น มีแนวโน้มที่
ธนาคารสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่า 90% ในเดือนธ.ค. นี้ (ที่มา Bloomberg 6 พ.ย. 60)

สำหรับผลการดำเนินงานกองทุน K-EUROPE และกองทุน K-EUSAGE โดยรวมนับว่ามีความโดดเด่น และให้ผลตอบแทนในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยผลการดำนินงานของกองทุน K-EUROPE สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 6.37% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 4.87%, ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 3.61 % เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 3.19% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 21.27% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 18.37% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 10.84% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 8.92% ต่อปี

สำหรับผลดำเนินงานของกองทุน K-EUSAGE อาจมีบางช่วงที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังในช่วง 3 เดือน อยู่ที่ 4.24% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 4.80%, ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 4.05% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 4.79% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 19.92%ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 20.85 % ทั้งนี้ โดยรวมแล้วตลาดหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวขึ้นโดดเด่น เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้น

วิทยุพลังงาน นายนาวิน กล่าวเพิ่มว่า สำหรับผลดำเนินงานของกองทุน K-ASIA มีการปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวม โดยกองทุนมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 6.13% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 10.58% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 14.82% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 12.60% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2560) และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 6.93% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 5.91% ต่อปี ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ก็ให้ผลการดำเนินงานย้อนหลังเป็นที่น่าพอใจ และสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานเช่นเดียวกัน โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 5.04% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 3.25% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ 21.72% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 23.29% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2560) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี กองทุน K-INDIA ปรับตัวบวกกว่า 32% ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน จากการเน้นน้ำหนักในหุ้นกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีแนวโน้มผลประกอบการขยายตัวดีจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว

สำหรับผลการดำเนินงานกองทุน K-GEMO ให้ผลตอบแทนในเกณฑ์ดี และสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 5.93% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 5.28% ต่อปี ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 16.25% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 14.90% ต่อปี และผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 26.90% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 24.85% ต่อปี สำหรับในด้านภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอาเซียนนับว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี โดยได้รับอานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าภูมิภาค ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงประมาณ 30% ทั้งตลาดหุ้นเอเชีย ประเทศเกิดใหม่ และอินเดีย (ที่มา Bloomberg 6 พ.ย. 60) อ๊ายยยขายของ-7-1