BLA ขาดทุน Q3 พุ่ง 142% ตั้งสำรองพิเศษเพิ่ม
"กรุงเทพประกันชีวิต" ไตรมาส 3 ขาดทุนสุทธิ 260 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 611 ล้านบาท เหตุผลกระทบการลดลงของอัตราคิดลดต้องตั้งสำรองพิเศษเพิ่มขึ้น ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับเติบโต 32% โกย 11,901 ล้านบาท กำไรขายเงินลงทุนลด
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 260.59 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.15 บาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 142% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 611.77 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.36 บาท ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2560 กำไรสุทธิ 1,887.84 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.11 บาท ลดลง 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 3,115.78 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.82 บาท
บริษัทฯ ชี้แจงสาเหตุขาดทุนในงวดไตรมาส 3 ปี 2560 มาจากผลกระทบจากการลดลงของอัตราคิดลด (Discount rate) ซึ่งทำให้บริษัทมีภาระต้องตั้งเงินสำรองพิเศษ (LAT Reserve) เพิ่มขึ้น 1,685 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทบันทึก LAT Reserve จำนวน 824 ล้านบาท สำรองที่ตั้งเพิ่มขึ้นสะท้อนเป็นค่าใช้จ่ายอยู่ในงบกำไรขาดทุนของบริษัท
ในขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมี LAT Reserve 1,685 ล้านบาท และ 1,681 ล้านบาท ในปี 2560 และปี 2559 ตามลำดับ แม้ว่าจำนวนของ LAT Reserve จะไม่แตกต่างกันมาก แต่ปี 2559 บริษัทมีการทำกำไรจากการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์มากเป็นพิเศษ จึงทำให้กำไรสุทธิของปี 2559 สูงกว่าปี 2560
อย่างไรก็ตามด้านความมั่นคงในฐานะทางการเงินของบริษัท เมื่อพิจารณาระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR) ของบริษัท ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ระดับ 244% ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับที่กฎหมายมากกว่า 2 เท่า
สำหรับผลดำเนินงานจากธุรกิจหลักในไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ 11,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เกิดจากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 84% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวน 4,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากความนิยมแบบประกันสะสมทรัพย์ระยะกลางของช่องทางธนาคาร ส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีต่อปีเติบโต 11%
นอกจากนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการลงทุนรวม 3,319 ล้านบาท มีกำไรจากการขายเงินลงทุน 353 ล้านบาท ลดลง 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วน 9 ดือนรายได้จากการลงทุนรวม 9,518 ล้านบาท ลดลง 1,015 ล้านบาท หรือ 10% จากการลดลงของการเงินลงทุนในหลักทรัพย์ระหว่างปี โดยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน 9 เดือนอยู่ที่ 4.70% ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5.81%
ส่วน 9 เดือนแรก ปี 2560 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 9,238 ล้านบาท เติบโต 31% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเบี้ยประกันภัยรับมีจำนวน 33,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% โดยผ่านช่องทางธนาคารคิดป็นสัดส่วน 67% และตัวแทน 29% ของทั้งหมด
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 260.59 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.15 บาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 142% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 611.77 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.36 บาท ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2560 กำไรสุทธิ 1,887.84 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.11 บาท ลดลง 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 3,115.78 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.82 บาท
บริษัทฯ ชี้แจงสาเหตุขาดทุนในงวดไตรมาส 3 ปี 2560 มาจากผลกระทบจากการลดลงของอัตราคิดลด (Discount rate) ซึ่งทำให้บริษัทมีภาระต้องตั้งเงินสำรองพิเศษ (LAT Reserve) เพิ่มขึ้น 1,685 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทบันทึก LAT Reserve จำนวน 824 ล้านบาท สำรองที่ตั้งเพิ่มขึ้นสะท้อนเป็นค่าใช้จ่ายอยู่ในงบกำไรขาดทุนของบริษัท
ในขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมี LAT Reserve 1,685 ล้านบาท และ 1,681 ล้านบาท ในปี 2560 และปี 2559 ตามลำดับ แม้ว่าจำนวนของ LAT Reserve จะไม่แตกต่างกันมาก แต่ปี 2559 บริษัทมีการทำกำไรจากการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์มากเป็นพิเศษ จึงทำให้กำไรสุทธิของปี 2559 สูงกว่าปี 2560
อย่างไรก็ตามด้านความมั่นคงในฐานะทางการเงินของบริษัท เมื่อพิจารณาระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR) ของบริษัท ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ระดับ 244% ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับที่กฎหมายมากกว่า 2 เท่า
นอกจากนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการลงทุนรวม 3,319 ล้านบาท มีกำไรจากการขายเงินลงทุน 353 ล้านบาท ลดลง 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วน 9 ดือนรายได้จากการลงทุนรวม 9,518 ล้านบาท ลดลง 1,015 ล้านบาท หรือ 10% จากการลดลงของการเงินลงทุนในหลักทรัพย์ระหว่างปี โดยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน 9 เดือนอยู่ที่ 4.70% ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5.81%
ส่วน 9 เดือนแรก ปี 2560 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 9,238 ล้านบาท เติบโต 31% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเบี้ยประกันภัยรับมีจำนวน 33,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% โดยผ่านช่องทางธนาคารคิดป็นสัดส่วน 67% และตัวแทน 29% ของทั้งหมด
