ปอร์เช่ พานาเมรา 4S โฉมใหม่ ไม่หวังขาย แต่ได้ใจไปเต็มร้อย

ช่วง 7-8 ปีที่แล้ว “ปอร์เช่” สร้างความฮือฮาน่าตื่นเต้น ด้วยการเปิดตัวรถซาลูนเครื่องยนต์วางหน้าสายพันธุ์ใหม่ หวังท้าประชันกับคู่แข่งร่วมชาติอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู และออดี้ ที่มี เอส-คลาส ซีรีส์ 7 และ เอ8 ที่จับตลาดกลุ่มบน

โดยปอร์เช่ บรรจงสร้าง “พานาเมรา” ออกมาสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี มีหลากขุมพลัง หลายระดับความแรง และได้การตอบรับด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 1.5 แสนคันในตลอดช่วงอายุการทำตลาดของเจเนอเรชันแรก

สำหรับโฉมใหม่เจเนอเรชันที่2 เปิดตัวสู่ตลาดโลกช่วงกลางปีที่แล้ว เมืองไทยโดย “เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส” ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ นำมาเปิดตัวช่วงปลายปีเดียวกัน พร้อมรับจองทันที

โดยรุ่น “เทอร์โบ” ราคา 21.9 ล้านบาท รุ่น “4เอส” 13.5 ล้านบาท ขณะที่รุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด (4อี-ไฮบริด) ทำราคาได้น่าคบ 9.8 ล้านบาท จากการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาลหรือเสียภาษีสรรพสามิต 10% (หลังเปลี่ยนวิธีคิดภาษีตามราคาขายปลีกจัดเก็บในอัตรา 8%) ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในที่เสียระดับ 35%

เมื่อราคาขายต่างกันหลายล้านบาทยอดจองเกือบทั้งหมดของ “พานาเมรา” จึงเป็นรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ซึ่งลูกค้าก็ยอมควักเงินจองและรอรถกันนานครับโดย“เอเอ เอส” เพิ่งเริ่มทยอยส่งมอบรถให้ลูกค้าในช่วงไตรมาส3 ที่ผ่านมานี่เอง
อย่างไรก็ตาม เพื่อสัมผัส“พานาเมรา”ให้มากกว่าในโบรชัวร์และจอทีวี จึงขอนำรุ่น “4เอส” มาลองขับรับรู้สมรรถนะกันก่อน(จริงๆ เมื่อปีแล้วผมมีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวพานาเมรา โฉมใหม่ ครั้งแรกในโลกที่กรุงเบอร์ลิน)

ปอร์เช่ พานาเมรา โฉมใหม่ มองรูปลักษณ์เผินๆอาจดูคล้ายๆ เดิม แต่เอาเข้าจริงกลับพบว่าตัวถังใหญ่ขึ้นทุกมิติ ด้วยความยาว 5,049 มม.(+34 มม.) กว้าง 1,937 มม.(+6 มม.) สูง 1,423 มม.(+5 มม.) ระยะฐานล้อ 2,950 มม.(+30 มม.) ส่วนแนวหลังคาด้านท้ายปรับให้ลาดตํ่ากว่าเดิม 20 มม. โดยยังเหลือพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังถึง 500 ลิตร และเมื่อพับเบาะนั่งแถวสองลงจะเพิ่มความอเนก ประสงค์เป็น 1,340 ลิตร

ส่วนรายละเอียดในโคมไฟหน้า ก็โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหมือนรถยนต์รุ่นอื่นๆของค่าย และแบรนด์ไอคอนอย่าง 911 ด้วยการใช้หลอด LED 4 จุด พร้อมระบบ Porsche Dynamic Light System (PDLS) เช่นเดียวกับแฝงไฟด้านท้าย

ส่วนออพชันเด่น เมื่อคุณจ่ายเงินไปกว่า 13 ล้านบาท ยังได้รับระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ระบบประตูดูดที่ไม่ต้องกระแทกตอนปิด (Soft close doors) ระบบคอมฟอร์ต แอกเซส ไม่ต้องกดกุญแจรีโมต รวมถึงเบาะนวดสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ภายในออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Porsche Advance Cockpit มีหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว ใช้แสดงผลและเป็นศูนย์สั่งงาน ดูโดดเด่นชัดเจนและใช้งานง่ายครับ

ประเด็นของสมรรถนะ จะใช้ช่วงล่างแบบถุงลมที่พัฒนาใหม่ ระบบล้อหลังช่วยเลี้ยว ระบบควบคุมการทรงตัว PASM พร้อมระบบ “สปอร์ต โครโน แพ็กเกจ” สั่งเพิ่มอัตราเร่งทันทีในช่วงเวลาสั้นๆ(กดปุ่มที่พวงมาลัย) พร้อมสปอยเลอร์หลังยกตัวอัตโนมัติเมื่อความเร็วเกิน 120 กม./ชม.

นอกจากนี้ ปอร์เช่ยังใช้เกียร์แบบคลัตช์คู่ PDK 8 สปีด แทนที่แบบอัตโนมัติทอร์กคอนเวอร์เตอร์ในพานาเมรา โฉมเก่า ช่วยในการควบคุมระบบส่งกำลังลงสู่ล้อ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา

ด้วยตัวถังขนาดใหญ่ และนํ้าหนักเกือบ 2 ตัน ขับจริงไม่รู้สึกอุ้ยอ้ายเทอะทะ ด้วยแรงม้ามากถึง 440 ตัวและระบบความช่วยเหลือต่างๆที่ผมกล่าวมา แต่กระนั้นจะให้ปราดเปรียว ปรู๊ดปร๊าด เหมือนพวกรถสปอร์ตแท้ๆก็ยังไม่ใช่ ทว่า “พานาเมรา” จะดีกว่าแน่ๆในการใช้วิ่งทางไกล ทั้งทางตรง โค้งกว้าง เก็บกินเรียบหมดครับ

ช่วงล่างที่นุ่มหนึบ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ประกบยางหน้า 265/45 ZR19 หลัง 295/40 ZR19 ตลอดจนความสามารถในการปรับตัวรถให้เตี้ยลงได้เมื่อใช้ความเร็วสูง เพื่อเพิ่มการทรงตัวที่มีเสถียรภาพสูงสุด พร้อมการตอบสนองของพวงมาลัยที่หนืดแน่นมากขึ้น

ส่วนแป้นแพดเดิลชิฟต์ยาวกำลังดี ใช้งานถนัดมือ สัมผัสของพวงมาลัยกระชับ(ออกแนวแบนๆ) เพียงแต่เลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะกับสภาพถนนแล้วกันครับ ทั้งนี้ผู้ขับสามารถเลือกบุคลิกให้แยกแตกต่างกันได้ระหว่าง ความแรงกับช่วงล่างและการควบคุม (Normal,Sport,Sport Plus,Individual)

ด้านอัตราบริโภคนํ้ามันเฉลี่ยของ “พานาเมรา 4เอส” ปอร์เช่เคลมเอาไว้ 12.1-12.3 กม./ลิตร ซึ่งการขับจริงๆผลลัพธ์มักออกเป็นเลขตัวเดียวมากกว่า

รวบรัดตัดความ...ด้วยโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่เอื้อให้กับรถไฮบริด ปล่อยไอเสียตํ่า ดังนั้นราคาขายของ “พานาเมร่า 4เอส” (หรือ พานาเมรา เทอร์โบ) อาจจะไม่จูงใจในการซื้อมากนักแต่ที่แน่ๆและได้ใจไปเต็มๆคือการเป็นรถสไตล์จีทีที่สมบูรณ์แบบในเชิงสมรรถนะ แฝงไว้ด้วยความภูมิฐาน และการใช้งานสะดวก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,312 วันที่ 9 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560