“หุ้นแบงก์” รุ่ง! ช้อนซื้อ 20% เน้นตัวใหญ่

08 พ.ย. 2560 | 12:05 น.
1904

บล.เอเซียพลัสฯ ชวนซื้อ “หุ้นแบงก์” ติดพอร์ต คาดกำไรโต 6% โหนกระแสเศรษฐกิจ รัฐทุ่มงบลงทุนโครงการใหญ่ เน้นธนาคารใหญ่ รอเก็บกำไร เงินปันผลดีด้วย “ทุนธนชาต” ราคายังไม่ขึ้นมาก

น.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำว่า นักลงทุนควรจะมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อยู่ในพอร์ตประมาณ 20%

ซึ่งเท่ากับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของกลุ่มธนาคาร แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นด้วย โดยธนาคารแต่ละแห่งจะมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน ทั้งธนาคารขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก และธนาคารที่ราคายังปรับตัวขึ้นน้อยกว่ากลุ่ม เช่น บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ให้ราคาเป้าหมาย 58 บาท


บาร์ไลน์ฐาน

หุ้นกลุ่มธนาคารอยู่ในกระแส ตามการปรับประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐในปีหน้า คาดว่า สินเชื่อมีโอกาสขยายตัว เฉลี่ย 6% ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตในอัตราเดียวกัน คือ 6% ในภาวะหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ลดลง ส่วนการตั้งสำรองขึ้นอยู่กับธนาคารแต่ละแห่ง เช่น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มีการตั้งสำรองสูงมากแล้ว ในปีหน้า คาดการตั้งสำรองน่าจะลดหรือทรง ๆ ให้มูลค่าที่เหมาะสม 250 บาท แต่ก็มีบางธนาคารที่จะตั้งสำรองพิเศษตามมาตรฐาน IFRS9 ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2562

“หุ้นแบงก์อยู่ในกระแสแน่นอน โดยเฉพาะธนาคารที่มีลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB รวมถึงธนาคารที่มีอัตราผลตอบแทนสูง อาทิ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP” น.ส.อุษณีย์ กล่าว

สำหรับวิธีการพิจารณาเลือกซื้อหุ้นแบงก์ ที่มองว่า ราคาถูก ... น.ส.อุษณีย์ กล่าวว่า นักลงทุนควรพิจารณาอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เปรียบเทียบกับสัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) เช่น ROE 12% พี/อี ควรอยู่ที่ 1.2 เท่า รวมถึงธนาคารที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV)

 

[caption id="attachment_174787" align="aligncenter" width="503"] นายอภิชัย เรามานะชัย นายอภิชัย เรามานะชัย[/caption]

ด้าน นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อลงทุนกลุ่มธนาคาร เช่น BBL, KBANK, SCB โดยคาดว่า สินเชื่อปี 2561 ขยายตัว 5-7% ส่วนกำไรรวมในไตรมาส 3/2560 ที่ผ่านมา ขยายตัวเพียง 4.5% จากไตรมาส 2/2560 แต่หดตัว 8.7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

“กำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/2560 อ่อนแอ อาจจะโตไม่มากอย่างที่คาดการณ์ หลังจาก บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ ขาดทุนสุทธิ 8,681 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่อเนื่องถึงกำไรสุทธิของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดลงจากเดิม 1,758 จุด เหลือ 1,725 จุด แม้มีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF & RMF ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หนุนภาวะหุ้น ช่วงปลายปีนี้”

นักวิเคราะห์มีมุมมองหุ้น SCB มีทั้ง ‘ถือ’ และ ‘ซื้อ’ เช่น บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ฯ ให้ถือ ราคาเป้าหมาย 165 บาท คาดกำไรสุทธิในปี 2560/2561 จะไม่น่าตื่นเต้นที่ -4% / +4% เช่นเดียวกับ บล.ฟินันเซีย ไซรัสฯ ปรับมาใช้ราคาเหมาะสมที่ 160 บาท หลังปรับประมาณการและปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นถือ หลังพบว่า ROF จะลดลงสู่ระดับ 12.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี โดยให้เปลี่ยนไปซื้อหุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 256 บาท หรือ BBL มูลค่าเหมาะสม 230 บาท


หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,311 วันที่ 5-8 พ.ย. 2560 หน้า 01+15

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1-13