‘มหาดำรงค์กุล’ปรับพอร์ตธุรกิจ รุกลงทุนโรงแรมใหม่เมืองท่องเที่ยว

05 พ.ย. 2560 | 03:02 น.
จากการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันตระกูลมหาดำรงค์กุล ได้ปรับพอร์ตการลงทุนของตระกูลใหม่ โดยเดินหน้าสร้างโรงแรมใหม่ ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง เพิ่มเติมจากเดิมที่เป็นเจ้าของ “โรงแรมสวิส โซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ” อยู่แล้ว 1 แห่งที่อยู่คู่ถนนรัชดาภิเษก มากว่า 16 ปี และธุรกิจดั้งเดิมที่ทำมากว่า 60 ปี อย่าง “ศรีทองพาณิชย์” ที่นำเข้าแบรนด์นาฬิกาข้อมือชื่อดังอย่าง CITIZEN, LUMINOX, BULOVA, BALL, SWISS FORCE อ่านได้จากสัมภาษณ์นางวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เลอคองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด

++ทุ่ม 2 พันล.เปิดรร.ที่พัทยา
ทิศทางการลงทุนของทางตระกูลมหาดำรงค์กุล ในขณะนี้จะเห็นได้ว่าเราเริ่มขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมเพิ่มมากขึ้น ขณะที่นาฬิกาซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิม ต้องยอมรับในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเงียบ เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวไป สวนทางกับธุรกิจโรงแรมสวิส โซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ ที่พบว่าขยายตัวต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้เรามองเห็นโอกาสที่จะขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น

[caption id="attachment_225946" align="aligncenter" width="335"] วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เลอคองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เลอคองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด[/caption]

ดังนั้นจึงลงทุนสร้างโรงแรมแห่งที่ 2 ขึ้นที่เมืองพัทยา บนที่ดินกว่า 17 ไร่ บริเวณนาจอมเทียน ซึ่งเป็นที่ดินที่ซื้อมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ด้วยทำเลหน้าติดหาด ด้านหลังติดถนนสุขุมวิท ทำให้คิดแต่ต้นเลยว่าจะลงทุนโรงแรม และต้องเป็นระดับ 5 ดาว เนื่องจากในเมืองพัทยาโรงแรมดีๆ ที่เป็นเชนใหญ่ยังมีไม่มาก

ประกอบกับอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ก็เหมาะกับธุรกิจไมซ์ด้วย จึงลงทุนไปกว่า 2 พันล้านบาท สร้าง “โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” เป็นแบรนด์โรงแรมของเชนแมริออท เชนบริหารโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี เริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะคืนทุนราว 8-10 ปี

โดยโรงแรมใหม่ที่พัทยา มีห้องพัก 257 ห้อง บนอาคารแบบโลว์ไรส์ และพูลวิลล่า 8 หลัง จุดเด่นของโรงแรมไม่เพียงโลเกชัน ที่ติดทะเลเท่านั้น แต่พื้นที่ตรงนี้ ต่อไปจะมีมอเตอร์เวย์ตัดใหม่ที่มาลงแถวบริเวณโรงแรม ประกอบกับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) ก็ทำให้การเดินทางมาท่องเที่ยว รวมถึงการจัดประชุม-สัมมนา เป็นตลาดที่จะเติบโตได้มากด้วยเช่นกัน อีกทั้งเรายังมีจุดเด่นเรื่องของการออกแบบ เน้นเรื่องของดีไซน์ ทำให้เราจึงเลือกใช้แบรนด์ เรเนซองส์ อย่างที่ล็อบบี้ จะเป็น WOW Concept มองเห็นทะเลได้จากล็อบบี้ ห้องนอนจะดีไซน์แบบ อาร์ตๆ เน้นกลุ่มครอบครัว และคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 25-45 ปี ซึ่งชอบความทันสมัยในบริการระดับ 5 ดาวติดทะเล

ทั้งนี้หลังการเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี และภายในสิ้นปีนี้คาดว่าโรงแรมจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 70% เนื่องจากเปิดให้บริการตรงกับช่วงไฮซีซัน ซึ่งลูกค้าถ้าเป็นช่วงวีกเอนด์จะเป็นคนไทย และกลุ่มประชุม-สัมมนา เพราะเราสร้างห้องประชุมที่รองรับได้ถึง 1 พันคน เป็นโรงแรมที่มีห้องจัดเลี้ยงใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากโรงแรมรอยัลคลิฟ และรูปแบบของการจัดงานก็จะเซต อัพตามความต้องการของลูกค้า

เช่น การจัดที่นั่งในแบบ BEAN BAG แทนที่จะใช้โต๊ะ การจัดให้มีครัวเปิด ในการจัดงาน เป็นต้น ซึ่งรูปแบบการจัดงาน แบบสมัยใหม่เน้นการเปลี่ยนบรรยากาศของการจัดงานสัมมนา ไม่ใช่แค่นั่งประชุมอยู่ในห้องแคบๆ เหมือนในเมือง ส่วนลูกค้าต่างชาติที่มาเที่ยวไทยช่วงไฮซีซันนี้ อย่างรัสเซีย รวมถึงกลุ่มคนต่างชาติที่พำนักอยู่ในเมืองไทย

แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ01 ++ขยายการลงทุนสู่ภูเก็ต
นอกจากนี้เรายังเตรียมจะเปิดโรงแรมแห่งที่ 3 ที่จังหวัดภูเก็ตด้วย เนื่องจากเราได้ไปซื้อ บูติก โฮเทล ขนาด 32 ห้องแห่งหนึ่งบริเวณหาดป่าตอง ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่าโรงแรม อวันติกา บูติก ขณะนี้อยู่ระหว่างการรีโนเวต และพัฒนาแบรนด์โรงแรมใหม่ เน้นเรื่องดีไซน์ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้วันที่ 1 ธันวาคมนี้ ภายใต้การลงทุนราว 300 ล้านบาท

อีกทั้งด้วยความที่ภูเก็ต เป็นเดสติเนชันที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งมีการพัฒนาการคมนาคมในพื้นที่ที่สะดวกมากขึ้น ทำให้เราก็มองโอกาสที่จะลงทุนโรงแรมในเมืองแห่งนี้เพิ่มอีก ถ้าเจออะไรที่น่าสนใจก็สามารถนำมาพัฒนาได้

++รีโนเวตรร.สวิสโซเทล
สำหรับโรงแรม สวิส โซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ เรามีการรีโนเวตครั้งใหญ่ ภายใต้การลงทุน 250 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว อาทิ ทยอยปรับปรุงห้องพักทั้ง 407 ห้อง ได้ดำเนินการไปแล้วในส่วนของห้องพักทั้งหมด 18 ชั้น เหลือห้องพักอีก 4 ชั้น ซึ่งเป็นส่วนของเอ็กซ์คลูซีฟ ฟลอร์ 120 ห้อง จะปรับปรุงในปีหน้า เน้นโมเดิร์น เข้ากับยุคสมัย ซึ่งโรงแรมแห่งนี้นอกจากในเรื่องของห้องพักแล้ว ยังเป็นที่นิยมสำหรับตลาดประชุม สัมมนา จัดเลี้ยง เนื่องจากเรามีห้องจัดเลี้ยงและสัมมนามากถึง 21 ห้อง ก็ทำให้เรามีรายได้จากการจัดเลี้ยงที่ดี

รวมถึงหลังจากทางเชนแอคคอร์ กรุ๊ป ได้ซื้อแบรนด์สวิส โซเทล ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปี 2561 โรงแรมสวิสโซเทล แห่งนี้ ก็จะอยู่ภายใต้เชนแอคคอร์ เต็มตัว ซึ่งการปรับปรุงของเรา ก็จะสอดรับกับแผนของแอคคอร์ ที่จะพัฒนาแบรนด์สวิสโซเทล เป็นโรงแรมไลฟ์สไตล์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพ

++เพิ่มพอร์ตรายได้รร.เป็น60%
“ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของธุรกิจในตระกูลมหาดำรงค์กุล รายได้จากธุรกิจนาฬิกาอยู่ที่ 30% รายได้จากโรงแรมสวิสโซเทลฯ 40% และรายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่า อยู่ที่ราว 30% แต่จากการขยายโรงแรมเพิ่มขึ้น ในปีหน้าก็คาดว่ารายได้ในส่วนของโรงแรมจะปรับเพิ่มมาเป็น 60% จากรายได้รวมในทุกธุรกิจที่อยู่ที่ราว 4 พันล้านบาทต่อปี”

ในส่วนของธุรกิจนาฬิกา นอกจากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำที่เป็นที่รู้จักมานานอยู่แล้ว อย่าง CITIZEN, LUMINOX ซึ่งเรานำเข้าและจัดจำหน่ายอยู่ และเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับ watch group เช่น แบรนด์ RADO, MIDO ขณะนี้เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ชอบนาฬิกาที่ใช้ยามดำนํ้า หรือเล่นกีฬา รวมถึงนาฬิกาแบบดิจิตอลที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็ทำให้เรามีการนำนาฬิการุ่น ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการเพิ่มขึ้น

ทั้งหมดล้วนเป็นทิศทางในการขยายธุรกิจที่เกิดขึ้นของตระกูลมหาดำรงค์กุล

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,310 วันที่ 2 - 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว