TREITโรดโชว์ดึงทุนนอก ชูกองทรัสต์ใหญ่สุดในไทย-เป้า3ปีแตะ5หมื่นล.

03 พ.ย. 2560 | 07:47 น.
กองทรัสต์ไทคอน เปิดแผนหลังแปลงสภาพกองอสังหาฯ ในกลุ่ม ลุยซื้อสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมโรดโชว์ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หลัง “ต่างชาติ” ดอดพบสนใจเข้าลงทุน

นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ TREIT เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากผู้ถือหน่วยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3 กองทุนในกลุ่มบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ได้อนุมัติให้แปลงสภาพกองทุนรวมเข้าเป็นกองทรัสต์ TREITแล้ว คาดว่าจะดำเนินการตามแผนและเสร็จทันภายในปีนี้ ส่งผลให้ TREIT มีขนาด 3.2 หมื่นล้านบาท

[caption id="attachment_225878" align="aligncenter" width="503"] พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด[/caption]

สำหรับแผนงานในปี 2561 จะเริ่มกระบวนการซื้อทรัพย์สินของกลุ่มไทคอนไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาท ตามมติที่ได้อนุมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุน ส่งผลให้กอง TREIT มีทรัพย์สินกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ขนาดใหญ่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายมากขึ้น ซึ่งช่วงต้นปีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าลงทุน แต่ติดปัญหาที่ขนาดกองเล็กเกินไป

นอกจากนี้มีแผนไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้แก่นักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ตามคำชักชวนของโบรกเกอร์ต่างประเทศ จึงเป็นจังหวะเปิดตัวแก่นักลงทุนต่างชาติ จากปัจจุบันมีสัดส่วนลงทุนไม่ถึง 10% ขณะที่ผลตอบแทนของกองเฉลี่ยอยู่ที่ 6.5% จากราคาไอพีโอ ซึ่งสูงกว่าญี่ปุ่นอยู่ที่ 4-5% แต่ใกล้เคียงสิงคโปร์

ขณะเดียวกันศึกษาการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น เวียดนาม ซึ่งช่วงต้นปีมาเสนอขายคลังสินค้า ขนาด 5 หมื่นตารางเมตร มูลค่าหลายพันล้านบาท แต่ TREIT มีขนาดกองเล็กเกินไปที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศ

“จากนี้เราไม่ได้โตจากทรัพย์สินในกลุ่มไทคอนอย่างเดียว แต่จะซื้อทรัพย์สินนอกกลุ่มทั้งในและต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนทรัพย์สินนอกกลุ่มมูลค่าไม่ตํ่ากว่า 1 พันล้านบาทและยังมีอีกหลายดีล ปีหน้าจึงเป็นเริ่มลงทุน สินทรัพย์จะโตไปเรื่อยๆ ปีหน้า 3.7 หมื่นล้านบาท โตกว่า 5 พันล้านบาท มากกว่า 10% และตั้งเป้าแตะ 5 หมื่นล้านบาทได้ภายใน 3 ปี เพราะเราต้องแข่งกับต่างประเทศ” นายพีระพัฒน์ กล่าว

ในส่วนของลูกค้าปัจจุบันมีมากกว่า 250 รายและกระจายตัวมากขึ้นจากเดิมพึ่งพาลูกค้า 10 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% จะเหลือ 23% ทำให้รายได้มั่นคงมากขึ้น การจ่ายเงินปันผลของกองน่าจะดีกว่าเดิมโดยเฉพาะหลังจากซื้อทรัพย์สินจากกลุ่มไทคอนมีผู้เช่าเต็ม 100% ส่งผลให้อัตราผู้เช่าของกองเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 82% ในขณะที่อุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 79-80%

แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ01 สำหรับสัดส่วนสินทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 69% และสิทธิการเช่า 31% โดยมีสัดส่วนที่เป็นโรงงานและคลังสินค้าเท่ากัน รวม 500 ยูนิต ทำให้ได้ประโยชน์จากกลุ่มลูกค้าทั้งผู้ผลิตและกลุ่มโลจิสติกส์ รวมทั้งกระจายพื้นที่เช่ามากขึ้น อีกทั้งจะได้ประโยชน์จากพื้นที่โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC ) ที่มีจำนวน 1.09 ล้านตารางเมตร จากทั้งหมด 1.5 ล้านตารางเมตร ทำให้มีโอกาสเติบโตได้อีก ซึ่งมีพื้นที่ยังว่าง 20% จะรองรับความต้องการได้

“บริษัทยังมีแผนยืดอายุสัญญาเช่าในส่วนโรงงานพร้อมใช้(Ready-Built)จาก 3 ปี เป็น 6 ปี ขณะที่ลูกค้าโรงงานและคลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการลูกค้า(Built-to-Suit)ปกติสัญญาเช่ายาว 10 ปี อยู่แล้ว ส่วนปีหน้ามีสัญญาเช่าครบ 1 ใน 3 ของทั้งหมด แต่อัตราการต่อสัญญาจะเกิน 90% ซึ่งแนวโน้มอัตราเช่าน่าจะดีขึ้น เนื่องจากซัพพลายใหม่ๆ ไม่มีแล้ว” นายพีระพัฒน์ กล่าว

ส่วนแผนการลงทุนจะใช้เงินกู้ ซึ่งปัจจุบันกอง REIT มีอันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์ที่ระดับ A- สามารถกู้ได้สูงสุด 60% ของมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลังซื้อทรัพย์สินกลุ่มไทคอนตามแผน สัดส่วนเงินกู้จะอยู่ที่ 25.5% โดยระยะยาวจะคงสัดส่วนเงินกู้ไม่เกิน 30% เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงสูง

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหน่วยลงทุน TREIT หลังการแปลงสภาพ ณ วันที่ 26 กันยายน 2560 ประกอบด้วย บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 19.5% สำนักงานประกันสังคม 17.2% กรุงเทพประกันชีวิต 6.1% ธนาคารกรุงเทพ 4.0% เมืองไทยประกันชีวิต 2.0% และอื่นๆ 51.2% ทั้งนี้มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติถือหน่วยลงทุนไม่ถึง 10%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,310 วันที่ 2 - 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว