วิชา 9 หน้า ศาสตร์พระราชาตำราของพ่อ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ดึง 9 บุคคลผู้มีอิทธิพลทางความคิดในแต่ละแวดวง มาร่วมสืบสานปณิธานพ่อ ผ่านการ นำเสนอใน 9 วิชา ที่ทรงใช้พัฒนาชีวิตคนไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
Take A trip ฉบับนี้ ขอนำเสนอ “วิชาตำนานพันธุ์” ซึ่งถ่ายทอดการร่วมสืบสานปณิธานพ่อ โดย “วิศุทธิ์ พรนิมิตร” นักวาดภาพประกอบ เจ้าของลายเส้น น้องมะม่วง, ควันใต้หมวก, hesheit ที่จะนำคุณไปเยือน “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร” เพื่อเรียนรู้ “จุดเริ่มต้นของ 3 ดำ แห่งแดนภูพาน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งห้องเรียนที่ทรงพระราชทานไว้ให้ชาวบ้าน เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต และเป็นพื้นที่ต้นแบบสำคัญในการจัดการทรัพยากรป่าและนํ้า และการพัฒนาด้านเกษตร กรรมของภาคอีสาน
ครั้งหนึ่งระหว่างการเสด็จฯออกเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน นักข่าวต่างประเทศได้กราบทูลถามในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงเหตุผลที่ทรงพัฒนาชนบทเพราะต้องการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ใช่หรือไม่ พระองค์รับสั่งกลับทันทีว่า “สิ่งที่ทรงต่อสู้ด้วยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่เป็นความอดอยากหิวโหยของประชาชนต่างหาก”
ด้วยต้องการบรรเทาความทุกข์ของประชาชน ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงโปรดเกล้าฯให้สร้าง “พระตำหนัก ภูพานราชนิเวศน์” เพื่อเป็นศูนย์กลางในการทำงานของพระองค์ในภาคอีสาน จะได้แก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที พร้อมยังโปรดเกล้าฯให้ตั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ” เพื่อเป็นสถานที่ทดลองแนวพระราช ดำริต่างๆ เช่น การสร้างอ่างเก็บนํ้าไว้ใช้ในฤดูแล้ง การหาข้าวพันธุ์ดีที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ
ทั้งอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่ คือ “การเลี้ยงสัตว์” โดยพระองค์ทรงพระราชทานแนวทางง่ายๆ ว่า “ต้องแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เลี้ยงง่ายไม่ต้องลงทุนสูง ไม่เช่นนั้นหากมีอะไรผิดพลาด เกษตรกรจะกลายเป็นหนี้” จนเป็นที่มาของตำนาน 3 ดำแห่งภูพาน ที่ประกอบด้วย “ไก่ดำภูพาน”, “สุกรภูพาน” และ “โคเนื้อภูพาน”
โดย “โคเนื้อภูพาน” ปรับ ปรุงสายพันธุ์มาจาก “โคทาจิมะ” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก โดย “สมาคมผู้เลี้ยงโค เมืองโอซากา” น้อมเกล้าฯถวายพันธุ์โคคู่หนึ่งแด่ “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” จากนั้นได้พระ ราชทานต่อให้กรมปศุสัตว์ทดลองผสมเทียม จนสามารถผลิตนํ้าเชื้อได้ถึง 1,500 หลอด แล้วนำมาฉีดให้โคที่นี่ กลายเป็นโคเนื้อขนสีดำ ซึ่งทนทานและมีไขมันแทรกในกล้ามเนื้อสูง ปัจจุบันเกษตรกรอีสานนิยมเลี้ยงกันแพร่หลาย เพราะต้นทุนไม่แพง ลูกก็ขายต่อได้ในราคาสูง และเนื้อมีรสชาติอร่อย
ส่วน “สุกรภูพาน” เดิมในหลวงโปรดเกล้าฯให้ชาวบ้านเลี้ยง “สุกรพันธุ์เหมยซาน” ซึ่งได้พันธุ์มาจากประเทศจีน ภายหลังกรมปศุสัตว์ได้ศึกษาทดลองเพิ่มเติม โดยนำสายพันธุ์อื่นๆ ผสมด้วย เช่น พันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ดูร็อกเจอร์ซี่ และพันธุ์แลนด์เรซ จนได้เป็นสุกรขนสีดำที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ลูกดก และให้ปริมาณเนื้อแดงมากเมื่อนำไปขุน
ขณะที่ “ไก่ดำภูพาน” มีต้นกำเนิดจากไก่สายพันธุ์จีน ด้วยความที่เลี้ยงง่าย ต้นทุนตํ่า และยังให้ราคาที่ดีกว่าไก่พันธุ์พื้นเมือง กรมปศุสัตว์จึงเริ่มค้นคว้าวิจัยเรื่อยมาจนได้พันธุ์ไก่ที่ดำสนิท คือ ขนดำ หนังดำ แข้งดำ เนื้อเทาดำ และกระดูกเทาดำ ทนต่อโรคและอากาศร้อนได้ดี ที่สำคัญสารสีดำที่อยู่ในตัวไก่ แท้จริงคือ “สารเมลานิน” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านโรคมะเร็งและชะลอวัย จึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภค
มาที่นี่เที่ยวได้รอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็น “เรียนรู้ศาสตร์การจัดการป่าและพันธ์ุไม้” เรียนรู้แนวคิดการจัดการป่าเพื่อการอนุรักษ์ โดยให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ “การปลูกป่า 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง” รวมไปถึงชนิดพันธุ์ไม้ในพื้นที่เทือกเขาภูพานกว่า 300 ชนิด ทั้งยังมี “เส้นทางศึกษาธรรมชาติ” ระยะประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเรียนรู้ระบบนิเวศธรรมชาติภายในพื้นที่ศูนย์ “การนั่งรถ
รางชมพื้นที่แปลงเกษตรสาธิตและปศุสัตว์ 3 ดำ แห่ง ภูพาน” เรียนรู้ระบบเกษตรบนแนวคิดวิถีพอเพียงตามรอยพ่อ และชมทัศนียภาพ “อ่างเก็บนํ้าตาดไฮใหญ่” ซึ่งศูนย์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-ศุกร์
จากแนวทางการพัฒนา ของศูนย์ดังกล่าว ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวอีสานดีขึ้น เลี้ยงดูครอบครัวจนพ้นสภาพความหิวโหยอดอยาก ดังที่พระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตั้งพระทัยไว้ทุกประการ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,308 วันที่ 26 - 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560