ประยุกต์ใช้ IoT สู่ตึกอัจฉริยะ! ชไนเดอร์ฯ เผย สนง.บริษัทแม่ ลดใช้พลังงาน 4 เท่า

22 ต.ค. 2560 | 11:07 น.
“ชไนเดอร์ อิเล็คทริค” เผย แนวคิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT ช่วยต่อยอดระบบจัดการพลังงานสำหรับอาคารให้ทันสมัย ผลศึกษาพบ ลดค่าใช้จ่ายดำเนินการได้ 25% ขณะที่ สำนักงานใหญ่ลดการใช้พลังงานได้ถึง 4 เท่า

นายธนากร วงศ์วิเศษ รองประธาน ธุรกิจพาร์ตเนอร์โปรเจ็กต์ และ อีโคบิวดิ้ง บริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า การศึกษาผู้ใช้งานระบบจัดการพลังงานในอาคาร (Building Energy Management Systems) สะท้อนให้เห็นว่า 27% ของผู้ที่อยู่ในอาคารรู้สึกมีความสุขมากขึ้น ในขณะที่ เจ้าของอาคารสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้มากถึง 25% ทำให้ระบบดังกล่าวขึ้นสู่ผู้นำในรายงานของ Navigant Research โดยเป็น “ระบบการบริหารจัดการพลังงานในอาคาร” เป็น “เทคโนโลยีเสาหลักสำหรับอาคารอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นหมวดของซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถแปลงข้อมูลที่ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไปเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ดำเนินการต่อได้


TP5-3307-1C

“ระบบจัดการพลังงานในอาคาร หรือ BEMS (Building Energy Management Systems) ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการทำให้อาคารมีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น เนื่องจากอาคารที่ฉลาดหรือมีความสมาร์ทขึ้น ช่วยให้การปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ทำได้ในแบบอัตโนมัติ เช่น เรื่องอุณหภูมิ ระบบอากาศหมุนเวียน รวมถึงระบบแสงสว่าง”

“ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้งานได้และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว สาเหตุเกิดจากการมาของ IoT หรือ Internet of Things ซึ่งเป็นเครื่องกล หรือ อุปกรณ์ที่สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ หากประชากรทุกคนบนโลกเชื่อมต่อกัน ก็จะทำให้มีประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตรวมทั้งสิ้นถึง 7.3 พันล้านคน แต่จำนวนอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งเพื่อใช้ IoT นั้น มีจำนวนเป็น 2 เท่าของตัวเลขดังกล่าว และคาดการณ์ว่า จะสูงถึง 7.5 หมื่นล้านชิ้น ภายใน 10 ปี ซึ่งนับเป็น 10 เท่าของคนจำนวนผู้ที่อาศัยอยู่บนโลก ทั้งนี้ อุปกรณ์เหล่านี้บางตัวจะเป็นเซ็นเตอร์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของอุณหภูมิ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ หรือข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการจัดการอาคารผ่านการผสานการทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสม ในเรื่องของการวิเคราะห์และควบคุมการใช้งาน

นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังทำให้สามารถรับรู้เกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น บริษัทแม่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในกรุงปารีส สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 4 เท่า จากการผสานรวมระบบจัดการพลังงานในอาคาร หรือ BEMS เข้ากับขั้นตอนการดำเนินการทั้งเรื่องของการตรวจสอบและควบคุมการใช้พลังงาน ซึ่งการปรับปรุงนั้นขึ้นอยู่กับการนำข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์จำนวนกว่า 3,000 ตัว มาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพตั้งแต่ในระดับของตัวอุปกรณ์ไปจนถึงการบริการ

แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ01

IoT ยังรวมถึงตัวเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับการใช้อาคารและเรื่องของสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีเซ็นเซอร์อื่น ๆ เช่น
เซ็นเซอร์ในการตรวจสอบการใช้พลังงานข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์เหล่านี้จะใช้เป็นพื้นฐานเพื่อการประหยัดพลังงาน ตัวอย่างเช่น ประสิทธิภาพด้านพลังงานสามารถปรับปรุงได้ จากการลดจำนวนชั่วโมงในการระบายอากาศ ในเวลาที่ไม่ได้มีการใช้ห้อง ผ่านการตรวจสอบในเรื่องของคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงอุณหภูมิ, ความชื้น และเซ็นเซอร์ด้านอื่น ๆ ผลที่ได้ต่อมาก็คือ การสามารถปรับระบบระบายอากาศให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ใช้งานได้ แนวโน้มของการมีข้อมูลมากขึ้นก่อนที่จะเริ่มมี IoT เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเกิดขึ้นมากมาย นับเป็นการเร่งให้เกิดข้อมูลมากยิ่งขึ้นไปอีก และด้วย IoT ที่จะเติบโตถึง 3 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ก็จะได้เห็นข้อมูลที่เติบโตไปในอัตราเดียวกัน

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,307 วันที่ 22-25 ต.ค. 2560

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว