ผมเป็นอดีต “จัดตั้ง” ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศคือยุทธศาสตร์อันเป็นภารกิจของชีวิต!
ปรัชญา
“วัตถุนิยมวิภาษวิธี” คือแกนหลักของความคิดที่แปรออกมาเป็นทฤษฎี
ในการเปลี่ยนแปลงสังคมคือ
“วัตถุนิยมประวัติ- ศาสตร์” ถือว่าเป็นทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์
ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน กรรมกร ชาวนา สำคัญที่สุด ศาสนาคือการมอมเมาให้เชื่อโดยไม่มีเงื่อนไขเป็นจิตนิยม!
การโค่นล้มสถาบันกษัตริย์และศาสนาจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการพลิกให้กรรมกรชาวนาขึ้นมาเป็นใหญ่
4 ปีที่อยู่ในจัดตั้ง แม้หลุดออกมาเพราะ
พคท.ล่มสลาย!!! แต่ยังมีเวลาอีก 10 ปีที่ปรัชญาเกาะกุมความคิด
วันที่ได้ “ปลดแอก” ความคิด คือวันที่ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ได้มาทวงให้คืนชีวิตสู่เส้นทางที่ถูกต้อง มี “ธรรมนำทาง”
ประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านทั้งหลาย ได้ถูกพลิกข้างทางความคิดให้เห็นถึง
“พระราชภาระ” ที่
“สถาบันพระมหากษัตริย์” ได้แบกรับเพื่อประชาชนและพิทักษ์รักษาทนุบำรุงพระพุทธศาสนา
เป็นคำยืนยันจากองค์
“หลวงปู่มั่น” พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ต้นทางสายธารของพระสายวัดป่าอันเป็นที่เคารพยิ่ง
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เคยดูแคลนว่าเป็นเพียงวาทกรรมครอบงำความคิด ได้กลับกลายเป็น ภารกิจสำคัญที่ต้องทำของชีวิตและต้องทำต่อไปจนสิ้นลมหายใจ!!!
ศึกษาเรียนรู้ยิ่งลึก ยิ่ง
“จงรักภักดี” เพราะได้สัมผัสด้วยชีวิตตัวเอง จึงซาบซึ้งกับถ้อยคำ
“ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9”
13 ตุลาคม 2559 นํ้าตาไหลเหมือนคนไทยทั้งปวง เป็นความรู้สึกเกินยากจะบรรยาย คล้ายๆ สิ่งหนึ่งในชีวิตขาดหายไป!!
แต่ไม่ได้เป็นความ
“เศร้า” เพราะเห็นถึงกฎไตรลักษณ์ว่า
“พระองค์ท่าน” ได้ทำให้คนไทยมากพอแล้ว เหนื่อยมาพอแล้ว เจ็บป่วยมาพอแล้ว ถึงเวลาที่จะได้เสด็จ คืนสู่ความเป็น
“มหาเทพ” ในฐานะพระโพธิสัตว์เจ้า
ตั้งแต่วันนั้นมา
“ตั้งใจ” สวดมนต์ไหว้พระภาวนาอุทิศเป็นพระราชกุศลทุกวัน แต่ผลที่ได้เกินคาดประมาณการ
เกิดวิวัฒนาการในจิตใจอย่างต่อเนื่อง เจริญในธรรมจนสามารถสรุปได้ว่า 18 ปีที่ได้ปฏิบัติมา ไม่เท่า 1 ปีที่ทำถวายพระองค์ท่าน
คอลัมน์ : ทางเดียวไม่เลี้ยวไปไหน / หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ / ฉบับ 3306 ระหว่างวันที่ 19-21ต.ค.2560