AJA ลุยปั้นธุรกิจใหม่

13 ต.ค. 2560 | 11:17 น.
“อมร มีมะโน” บิ๊ก พระเอกตัวจริง AJA เผยหลังตัดขายตู้เติมเงิน วางแผนศึกษาปั้นธุรกิจใหม่ ต่อยอดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ AJ เตรียมเปิดตัวพันธมิตรและธุรกิจเร็ว ๆ นี้

นายอมร มีมะโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยีฯ (AJA) ผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ AJ แบรนด์อันดับ 1 ของคนไทย เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นการเสริมรายได้ให้แข็งแกร่ง หลังจากที่บริษัทลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท เวนดิ้ง คอร์ปอเรชั่นฯ (VDC) เจ้าของผลิตภัณฑ์ตู้เติมเงิน เหลือ 17% จากเดิม 60%

[caption id="attachment_218321" align="aligncenter" width="335"] อมร มีมะโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยีฯ (AJA) อมร มีมะโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยีฯ (AJA)[/caption]

สำหรับการศึกษาธุรกิจใหม่ ที่มีความน่าสนใจ เช่น การจัดจำหน่ายรถไฟฟ้า หรือสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งเป็นกระแสความต้องการของโลก ที่เปลี่ยนจากการใช้นํ้ามันมาเป็นไฟฟ้า ช่วยลดมลพิษและสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทเห็นว่าธุรกิจดังกล่าว ยังอยู่ในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนทำไลน์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มในปี 2561 เช่น พัดลมไอเย็น และเครื่องปรับอากาศ หรือ แอร์ แบรนด์ AJ ขณะที่เครื่องเล่น DVD ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี แต่โฮมเธียเตอร์ เครื่องเล่นคาราโอเกะ ยังได้รับความนิยม

“การลดสัดส่วนธุรกิจตู้เติมเงิน เพื่อการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของตั๋วแลกเงิน ที่กระทบเป็นลูกโซ่ ส่งผลต่อ AJA และบริษัท VDC การแก้ปัญหาเพิ่มทุนใน VDC เปิดทางให้นักลงทุนเข้ามาเพิ่มทุน และ AJA ลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทแข็งแรง บริษัท AJA ได้รับชำระหนี้ 700 ล้านบาท คืนมาทั้งหมด นำไปชำระตั๋วบี/อี และมีเงินเหลือทำธุรกิจเพิ่มได้ ขอให้มีเงินทุน และเป็นธุรกิจที่สร้างผล ตอบแทนที่ดี มีอนาคต ทำกำไรได้”

นายอมร กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมา ขาดทุนรวมประมาณ 200 ล้านบาท สาเหตุจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของ VDC ส่วนผลประกอบการเดี่ยวของ AJA มีกำไรจากการดำเนินงาน ดังนั้น อนาคตเมื่อ VDC มีกำไรจากการดำเนินงาน เข้าระดมทุนในตลาดทุนได้ บริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการลงทุน 17% และช่วงที่ผ่านมากว่า 1 ปี การลงทุนใน VDC ประมาณ 100 ล้านบาท ทำกำไรให้ AJA พอสมควร จึงถือว่าการลงทุนเสมอตัว เพียงแต่เสียโอกาสการลงทุนในช่วง 1 ปีเท่านั้น

“การที่หุ้น AJA ถูก SP ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม สาเหตุจากงบลูก VDC มีปัญหา เพราะธุรกิจโตเร็ว งบทำไม่ทัน บางอย่างยังใช้พนักงานลงบัญชี ไม่ได้ใช้ระบบทั้งหมด ทำให้งบการเงินทำไม่ทัน ต้องใช้เวลาปรับระบบและหลังจากที่กลุ่มนายวิชัย วชิรพงศ์ หรือเสี่ยยักษ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน VDC แล้ว ต้องปล่อยให้เป็นผู้บริหารจัดการต่อไป” นายอมร กล่าว

ทั้งนี้ วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกขณะนี้มี 2 บริษัท คือ บริษัท เทสลาฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัท BYD ผู้ผลิตรถไฟฟ้าแบรนด์ BYD ของประเทศจีน ที่มีประสบการณ์มากกว่า 9 ปี เป็นผู้ผลิตและขายรถไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทั้ง 2 บริษัท กำลังเปลี่ยนโลกยานยนต์ที่ใช้นํ้ามัน สู่รถยนต์ไฟฟ้าในไม่กี่ปีข้างหน้านี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,304 วันที่ 12 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560
e-book