Leadership Lifestyle Diseases (1)

โรคมนุษย์ทำงานที่เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยนจากเดิม จากการเร่งรีบ จากความเครียด จากความคาดหวังที่สูงขึ้น จากอาหารการกินที่ห่างไกลจากธรรมชาติ จากไม่ได้ออกกำลังรวมทั้งการที่นั่งทำงานหน้าคอมพ์ไม่ได้เปลี่ยนอิรยาบถไปไหน ยิ่งรับผิดชอบมากขึ้นการบีบคั้นจากการทำงานก็มีมากขึ้น

7 โรคยอดนิยมสำหรับผู้นำหรือที่เราเรียกว่า Leadership Lifestyle Diseases ก็คือ

**1. โรคอ้วน
มนุษย์เราถูกออกแบบให้มีการเคลื่อนไหว ในขณะที่การทำงานปัจจุบันนั้นเรามักจะนั่งอยู่หน้าคอมพ์ตลอดเวลา ไม่ได้ออกกำลัง ทำงานจนดึกจนดื่น กินอาหารแบบเร่งรีบ ไม่เป็นเวลาและมีเวลาที่จะให้กับตัวเองน้อยลงทุกที ทำให้หลายคนค่อยๆ มีนํ้าหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

**2.โรค Office Syndrome
การไม่ได้ออกกำลังทำให้ร่างกายเราไม่ได้เคลื่อนไหว มักจะเกิดอาการ ไหล่ติด นิ้วล็อก เจ็บหลัง ปวดขา เส้นยึดหรือบางคนถึงกับบ้านหมุนและเป็นไมเกรน ทำให้ไม่สามารถจะทำงานได้นานและทนเหมือนเดิมอีกต่อไป

**3. โรคเบาหวาน
ปัจจุบันนี้ถ้าสังเกตดูดีๆคนทำงานส่วนใหญ่จะบริโภคนํ้าหวาน นํ้าอัดลม นํ้าชาเขียว กาแฟแทนนํ้าเปล่า แต่หารู้ไม่ว่าเราบริโภคนํ้าตาลมากมายเกินความจำเป็นทำให้หลายคนมารู้อีกทีก็เมื่อหมอมาทักว่าคุณเป็นเบาหวานซะแล้ว

**4.โรคความดัน
เมื่อมีโรคอ้วน โรค Office Syndrome โรคเบาหวาน พร้อมทั้งความคาดหวังในการทำงาน ตัวชี้วัดต่างๆที่เรามักจะพูดถึง KPI นั้นทำให้หลายคนประสบวิกฤติทั้งกายและความคิดมากขึ้นและความถี่ของความกดดันยิ่งมากก็ทำให้หลายคนจะเปลี่ยนแรงความกดดันกลายเป็นโรคความดันโดยไม่รู้ตัว

**5.โรคเส้นเลือดในสมองตีบ
ผู้นำหลายคนค่อยๆเพิ่มความเสี่ยงจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันจนหลายครั้งผู้บริหารหลายคนต้องเผชิญกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตอย่างไม่ได้เตรียมตัว ผู้เขียนเคยเจอผู้บริหารที่เส้นเลือดในสมองแตกระหว่างประชุมกับ CEO จะกลายเป็นอัมพาตอย่างตั้งตัวไม่ทัน

**6.โรคหัวใจ
ถ้าต่อมเครียดเราทำงานมากเกินไปและถี่เกินไปจะทำให้หัวใจเราต้องรับบทหนักตลอดเวลา ยิ่งมีทั้ง 5 โรคที่กล่าวมาด้วยแล้วและถ้าเราไม่รู้จักฟังสัญญาณของร่างกายตัวเรา หัวใจเราเต้นในจังหวะที่มากเกินไปหรือเปล่า บางคนฟังอีกทีก็ถูกคุณหมอรับเข้าไปอยู่ห้อง ICU ซะแล้วเพราะหัวใจวาย

**7.โรคมะเร็ง
เมื่อ Leadership Lifestyle ต้องเผชิญกับการเสียสมดุลเป็นเวลานาน ร่างกายเราอ่อนแอ ภูมิต้านทานเราอ่อนล้า โรคมะเร็งมักจะเรียกหาและเราก็ต้องผ่านกระบวนการอันโหดร้ายไม่ว่าผ่าตัด ฉีดคีโมและฉายแสงและถ้าเราไม่เปลี่ยน Life style ในการใช้ชีวิต โรคมะเร็งก็จะกลับมาถามหาอีก

ในคราวหน้าเราคงมาดูกันว่าถ้าเรามีการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เป็น Well-being Leadership Lifestyle ให้เกิดความสมดุลในจังหวะเวลาที่ถูกต้องจะเป็น Proactive Healthy Self-Care ดีกว่าที่เราจะต้อง Reactive และรอให้เป็นโรคก่อนที่จะมาแก้ไข

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,304 วันที่ 12 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560