สเนลไวท์เล็งที่3สกินแคร์เอเชีย วาง6กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ-ระดมทุนขยายธุรกิจ

15 ต.ค. 2560 | 02:32 น.
สเนลไวท์ วางเป้าขึ้นแท่นผู้นำ 1 ใน 3 แบรนด์สกินแคร์ในเอเชีย ชู 6 กลยุทธ์ความสำเร็จตลอด 3 ปีสร้างยอดขายโตกว่า65%เตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขาย 76 ล้านหุ้น นำเงินขยายกิจการต่อเนื่อง

ตลาดผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 2.9 หมื่นล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาในอัตรา 4.5% ถือว่าเป็นตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแม้ว่าในตลาดความงามแบรนด์สินค้าหลักจะยังเป็นของผู้ผลิตจากกลุ่มอินเตอร์แบรนด์  แต่สินค้าแบรนด์ไทยหลายแบรนด์ก็ยังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพื่อนบ้านทั้งภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศจีน จึงนับเป็นโอกาสทางการตลาดที่ผู้ประกอบการได้รุกเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ และก้าวขยับขึ้นเป็นแบรนด์ในภูมิภาค แบรนด์สเนลไวท์ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งแบรนด์ที่บรรดานักท่องเที่ยวชาวจีน และเพื่อนบ้านอาเซียนให้การยอมรับและเลือกซื้อกลับไปใช้ในต่างประเทศ

ดร.สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดูเดย์ดรีม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสเนลไวท์ (SNAILWHITE) เปิดเผยว่า ได้วางเป้าหมายผลักดันให้บริษัท ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชียด้วยการใช้ 6กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.แบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง 2.คุณภาพสินค้า 3.ช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม 4.นวัตกรรมสินค้า 5.ทีมงาน และ 6.การดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 6 กลยุทธ์ดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยความสำเร็จของบริษัทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้เฉลี่ย 65.5%

[caption id="attachment_218010" align="aligncenter" width="335"] ดร.สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดูเดย์ดรีม จำกัด (มหาชน) ดร.สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดูเดย์ดรีม จำกัด (มหาชน)[/caption]

“บริษัทเริ่มต้นจากรับจ้างผลิตให้สินค้าแบรนด์อื่น จนเรียนรู้ว่าปัจจัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ต้องประกอบไปด้วย การมีทีมงานที่ดี โอกาสทางการตลาด ที่เข้ามาจับกลุ่มเฮลตี้สกิน ที่ช่วงแรกยังไม่ค่อยมีผู้เล่น การใช้สารสกัดจากหอยทากที่ได้ปรับสูตรให้เหมาะกับอากาศเมืองไทย การจับตลาดพรีเมียมแมส ที่ถือเป็นช่องวางทางการตลาดที่ไม่ค่อยมีผู้เล่น การใช้สื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาทำตลาดรวมถึงการใช้สื่อครบวงจรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การมีช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมทุกช่องทางกว่า 1 หมื่นร้านค้าและการเข้ามาทำธุรกิจในตลาดผลิตภัณฑ์ความงามที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

ด้านนายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่า ปัจจุบันผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชีย3อันดับแรกจะเป็นกลุ่มชิเซโด้กลุ่มคาโอและกลุ่มอมอร์ แปซิฟิค ซึ่งน่าจะมียอดขายหลักแสนล้านบาท ส่วนเป้าหมายการขึ้นติดอันดับ1ใน3ของเอเชียสำหรับบริษัทนั้นเป็นเป้าหมายระยะยาวที่อาจจะต้องใช้ระยะเวลา 10-20 ปีแต่เชื่อว่ามีโอกาสและความเป็นไปได้ เพราะตลาดต่างประเทศมีศักยภาพและโอกาสการเติบโตสูงจากตลาดที่มีขนาดใหญ่

ปัจจุบันบริษัทได้ส่งสินค้าออกไปทำตลาดในประเทศจีน สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมา โดยประเทศจีนถือเป็นตลาดหลักในต่างประเทศที่บริษัทจะให้ความสำคัญและขยายตลาดอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นประเทศที่มีมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ความงามในปีที่ผ่านมาถึง1ล้านล้านบาท มีอัตราการเติบโต 16.5% จากปีก่อนหน้าซึ่งยอดขายสินค้าที่ส่งไปประเทศจีนในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่ากว่า 309 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 142 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทมียอดขายแล้วกว่า 872 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามียอดขาย 703 ล้านบาท จากยอดตลอดทั้งปี 2559 ที่มีกว่า 1,202 ล้านบาท ขณะที่ช่วงครึ่งแรกปีนี้มีกำไร 209 ล้านบาท เนื่องจากได้มีการออกสินค้าใหม่ 8รายการซึ่งขณะนี้บริษัทได้เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯโดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 76 ล้านหุ้น ซึ่งได้ยื่นไฟลิ่งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)แล้วในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่าย โดยมีวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อขยายกำลังการผลิต เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศและการขยายธุรกิจต่างๆเช่นการปรับปรุงฝ่ายวิจัยและพัฒนา

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,304 วันที่ 12 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1