เจาะลึกอาเซียนพลัส | โอกาสธุรกิจ “อาหารอินเดีย”

08 ต.ค. 2560 | 09:08 น.
tp6-3303-b

เจาะลึกอาเซียนพลัส โดย รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย | เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ผมได้เดินทางไปกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เพื่อพูดคุยกับนักธุรกิจนำเข้าสินค้า “อาหารของอินเดีย” ว่า จะมีความคิดเห็นต่อสินค้าไทยอย่างไร ก็พบประเด็นที่น่าสนใจที่น่าจะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ เพื่อเป็นประโยชน์ในการส่งออกสินค้าอาหารของไทยไปขายอินเดีย

นอกจากนี้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับการติดต่อ เพราะผมได้พบกับ “ตัวจริง เสียงจริง ของผู้นำเข้าอาหารอินเดีย” ผมได้พบกับผู้บริหารของ บริษัท Max Food Corporaation ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าสินค้าและเครื่องดื่มระดับพรีเมียมของอินเดีย และนโยบายของบริษัท คือ การนำเข้าอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียมเท่านั้น สินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน หรือ ไม่ได้คุณภาพ ไม่ต้องไปคุยกับเขา, บริษัท Nanson Overseas (P) Limited เป็นผู้จำหน่ายสินค้านำเข้าอาหารจากสหรัฐฯ แต่เพียงผู้เดียว, บริษัท Suresh Kumar & Company (Impex) Pvt.Ltd. มีอายุถึง 100 ปี นอกจากนี้ ยังมีบริษัท WMMC India, บริษัท Satkar International, บริษัท Shivaree infracon PVT.LTD., บริษัท Geekay Sales Corporation และบริษัท Farmland Premium Foods


tp6-3303-1b

ก่อนอื่น ผมขอนำเสนอภาพรวมของการนำเข้า “สินค้าอาหารของอินเดีย” ก่อนครับ ปัจจุบันพบว่า สินค้าอาหารจากประเทศไทยส่งไปขายอินเดียยังน้อยมาก เห็นได้จากมูลค่าการนำเข้าของสินค้าในหมวดอาหารกระป๋องแปรรูปของอินเดีย ที่มีการนำเข้าจากประเทศไทยน้อยมาก คิดเป็น 1% ของมูลค่าการนำเข้าอาหารกระป๋องแปรรูปของอินเดียจากทั่วโลก ขณะที่ การนำเข้าจากเวียดนามถึง 26% รองลงมาเป็นอาหารจากบังกลาเทศและสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาการนำเข้าสินค้าดังกล่าวของอินเดียจากประเทศในอาเซียนด้วยกัน พบว่า อินเดียนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 5 รองจากเวียดนาม, เมียนมา, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าปลาทูน่าและปลาแมกเคอเรลนั้น มีการนำเข้าจากประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 1 แต่สินค้าประเภทซุปนั้น มีการนำเข้าจากประเทศไทยเป็นอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเกาหลี นอกจากนี้ กลุ่มอาหารสัตว์ก็มีความต้องการมากเช่นกัน และพบว่า อินเดียนำเข้าจากไทย, ศรีลังกา, จีน และเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ 13.7%, 13.6%, 13.2% และ 11.7% ตามลำดับ

ผลการพูดคุยกับนักธุรกิจข้างต้น พบว่า อาหารแปรรูปกระป๋องของไทยในอินเดียยังมีโอกาสอีกมาก เพียงเราต้องไปถูกที่และตรงใจกับคนอินเดีย แม้ว่าอินเดียจะสามารถผลิตอาหารได้มากก็ตาม แต่ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศมีมากขึ้นเช่นกัน เพราะยังผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการในสินค้าอาหารทุกชนิด ด้วยอินเดียที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรจำนวนมาก ทำให้มีอุปสงค์สูงมากทั้งสินค้า การบริการ และการลงทุนในสาขาต่าง ๆ
แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ

สำหรับความต้องการสินค้าอาหารนั้น สามารถสะท้อนได้จากมูลค่าการผลิตอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของอินเดีย ที่เพิ่มจาก 258 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2558 เป็น 482 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับกลุ่มเป้าหมายของสินค้ากลุ่มอาหาร เนื่องจากคนชั้นกลางของอินเดียมีจำนวนมากขึ้น ประมาณ 70% ของประชากรทั้งหมด คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่จับจ่ายใช้สอยมากกว่ากลุ่มคนอื่น ตัวเลขของ IBEF (Indian Brand Equity Foundation) รายงานว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมของคนอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือ จาก 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2558 เป็น 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2563 ด้วยคนกลุ่มนี้ต้องใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบและทำงานในออฟฟิศ จึงทำให้ไม่มีเวลาทำอาหารทานเอง ส่งผลให้ต้องพึ่งอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น คนชนชั้นกลางและคนสมัยใหม่ในอินเดียกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ต้องการสินค้ามีคุณภาพ และเน้นสินค้าสุขภาพ ส่วนเรื่องราคาเป็นเรื่องรองลงมา ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสของอาหารแปรรูปของไทย ที่มีมาตรฐานและคุณภาพอยู่แล้ว เพราะอาหารของไทยในสายตาของคนอินเดียนั้น เขาบอกว่า “สะอาด” มีคุณภาพ และมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของชาวอินเดีย

แม้ว่า อินเดียยังมีความต้องการอาหารไทยก็ตาม แต่ปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยก็มุ่งไปยังตลาดจีนเป็นจำนวนมากถึง 90% ทั้ง ๆ ที่ตลาดอินเดียก็มีโอกาสทางการค้าเช่นเดียวกับตลาดจีน แต่มีผู้ประกอบการเพียง 10% เท่านั้น ที่เข้ามายังตลาดอินเดีย โอกาสของอาหารไทยที่ไปอินเดีย จะต้องปรับให้ตรงกับรสนิยมของคนอินเดีย รสชาติอาหารของคนอินเดียที่นิยม คือ รสเผ็ด ซึ่งต้องปรับให้สอดคล้องกับเครื่องเทศของอินเดีย และหากเป็นอาหารประเภทน้ำซุปก็ไม่ต้องข้นจนเกินไป

ที่น่าสนใจ ก็คือ นักธุรกิจเหล่านี้ แนะนำว่า ควรนำพ่อครัวของอินเดียไปอยู่ในโรงงานผลิตของไทย เพื่อให้ได้รสชาติอาหารตามความต้องการของคนอินเดีย แพ็กเกจจิ้งของอาหารควรใช้ที่มีขนาดกะทัดรัด สะดวกต่อการใช้ สามารถแกะกินได้เลย และที่สำคัญ ควรเข้าร่วมงานแสดงสินค้า “Proqati Maidan” ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของกรุงนิวเดลี และจัดขึ้นทุกปี

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,303 วันที่ 8-11 ต.ค. 2560

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว