เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ชื่อนี้การันตีสมรรถนะ

11 ต.ค. 2560 | 14:35 น.
จากสำนักแต่งรถยนต์เล็กๆในเยอรมนี สร้างชื่อในแวดวงมอเตอร์สปอร์ต พัฒนาสู่รุ่นย่อยตัวแรงที่มีเอกลักษณ์ จนกลายเป็นซับแบรนด์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ วันนี้ “เอเอ็มจี” กำลังฉลองครบรอบ 50 ปี ของการเป็นผู้พัฒนารถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

MP33-3303-1A ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองอัฟฟาวเตอร์บัค ประเทศเยอรมนี ถือเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของกลุ่ม “เดมเลอร์ เอจี” ด้วยวิสัยทัศน์องค์กรคือ การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ(Driving Performance)

ด้วยการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ช่วยผลักดันให้แบรนด์เอเอ็มจีประสบความสำเร็จ และได้การตอบรับดีจากลูกค้าทั่วโลก โดยรถยนต์ในตระกูล 63 ยังคงเป็นหัวใจของแบรนด์ รวมถึงรถสปอร์ตตระกูล AMG GT ที่ “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด

MP33-3303-A กลยุทธ์พัฒนาและขายรถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่แล้วเปิดตัวรถใหม่กว่า 10 รุ่น หรือนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2017 รถ “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี”มีให้เลือกมากกว่า 50 รุ่นครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์คอมแพกต์ ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง ตลอดจนรถสปอร์ตรุ่น S 65 ที่ใช้เครื่องยนต์ 12 สูบรถซาลูนและรถเอสเตตที่ใช้เครื่องยนต์หลากหลายแบบ หรือแม้แต่รถเอสยูวี รถยนต์สไตล์คูเป้ รถเปิดประทุนสไตล์คาบริโอเลต์และโรดสเตอร์ ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ ที่ “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” เลือกใช้ถือเป็นเทคโนโลยีระดับชั้นนำของรถยนต์ในแต่ละประเภท อย่าง เทคโนโลยีขับเคลื่อนล้อหลัง เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเกียร์แบบคลัตช์คู่ หรือระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด เป็นต้น

ในปี 2016 “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี”เปิดตัว Mercedes-AMG GT R ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรถสปอร์ตตระกูล GT อย่างเป็นทางการ พร้อมกับรถสปอร์ตโรดสเตอร์อีก 2 รุ่น คือ รุ่น GT Roadster และ GT C Roadster รวมถึงการฉลองปีที่ 50 ด้วยรถสปอร์ตคูเป้ในตระกูล Mercedes-AMG GT ที่เป็นรุ่นกึ่งกลางระหว่างรถสปอร์ตรุ่น Mercedes-AMG GT S และ Mercedes-AMG GT R โดยใช้ชื่อว่า Mercedes-AMG GT C รุ่น Edition 50 ที่ผลิตขึ้นในโอกาสครบรอบปีที่ 50 ของแบรนด์

MP33-3303-2A “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ยังพัฒนารถยนต์กลุ่มไฮเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานบนท้องถนนทั่วไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นรถไฮเปอร์คาร์รุ่นแรกที่ผลิตเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ตามแนวคิดใหม่คือ “สมรรถนะแห่งอนาคตกับเอเอ็มจี – AMG Future Performance” ผ่านการใช้นวัตกรรมระบบส่งพลังที่ใช้ในรถยนต์ฟอร์มูลาวัน แรงม้าสูงสุดกว่า 1,000 แรงม้าด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และใช้นวัตกรรมเพลาหน้าแบบระบบไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้เปิดตัวในงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2017 ที่ผ่านมาใช้ชื่อว่า “เมอร์เซเดส 
เอเอ็มจี โปรเจกต์ วัน”

โดยรถสปอร์ต 2 ที่นั่งขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊ก-อินไฮบริดรุ่นนี้ วางเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 4 ตัว เมื่อรวมประสิทธิผลทั้งหมดสามารถรีดกำลังออกมาได้กว่า 1,000 แรงม้า ประกบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.ตํ่ากว่า 6 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. พร้อมผลิตจำนวนจำกัด 275 คัน โดยมีค่าตัว 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 97.5 ล้านบาทไทย(ไม่รวมภาษี) เริ่มส่งมอบตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป

MP33-3303-4A หลักชัยของAMG
ปี 1967 “เอเอ็มจี” ก่อตั้งขึ้นที่เมืองเบิร์กชตาร์ล โดย “ฮานส์ แวเนอร์ อาวฟเรชท์” และ “แอร์ฮาร์ด เมลเชอร์” ด้วยการใช้โรงโม่แป้งเก่าๆ เป็นที่ตั้งของโรงปรับแต่งรถแห่งแรก พร้อมใช้ชื่อว่า “ศูนย์วิศวกรรม ออกแบบ และทดสอบเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการแข่งขัน ซึ่งตัวอักษร AMG มาจากคำว่า “อาวฟเรชท์และเมลเชอร์ จากหมู่บ้านโกรซาชปาค-Aufrecht and Melcher, Grossaspach” ซึ่งหมู่บ้านนี้ เป็นบ้านเกิดของอาวฟเรชท์

ปี 1971 เอเอ็มจี เริ่มมีชื่อเสียงหลังจากที่รถยนต์ AMG 300 SEL 6.8 สีแดงชนะการแข่งขันกับรถยนต์กลุ่มเดียวกันอย่างขาดลอยในรายการรถแข่งประเภท 24 ชั่วโมงที่สนามสปา-ฟรังโกชอมป์ เบลเยียม และทำคะแนนรวมได้เป็นอันดับ 2

ปี1984 เมลเชอร์ พัฒนานวัตกรรมฝาครอบกระบอกสูบใหม่ ที่ทำงานสอดคล้องกับระบบวาล์วแบบ 4 วาล์วต่อลูกสูบ 1 ลูก (Four-valve technology) ซึ่งเอเอ็มจีประยุกต์ใช้นวัตกรรมนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในเครื่องยนต์ V8 ความจุกระบอกสูบ 5 ลิตรของรถยนต์ Mercedes-Benz 500 SEC และถือเป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญา “1 ช่างฝีมือต่อเครื่องยนต์ 1 เครื่อง - one man, one engine” ที่ Mercedes-AMG ยึดถือจนปัจจุบัน

ปี 1990 เอเอ็มจีตกลงร่วมมือกับแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเอเอ็มจีเริ่มต้นเป็นผู้พัฒนาและผลิตรถแบบสปอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งแต่ปี 1991

ปี 1993 เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกที่เอเอ็มจีผลิตร่วมกับกลุ่มบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ฯ (ชื่อในขณะนั้น) คือรุ่น C 36 AMG ประสบความสำเร็จด้วยยอดขาย 5,000 คันเมื่อนับถึงปี 1997 ถือเป็นรถยนต์ของ AMG ที่ขายดีที่สุดในขณะนั้น

ปี 2009 เริ่มขายรถสปอร์ต Mercedes-Benz SLS AMG ถือเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกที่ Mercedes-AMG พัฒนาขึ้นโดยไม่อาศัยทีมงานภายนอกบริษัทเลย ซึ่งรถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลกด้วยเอกลักษณ์พิเศษมากมาย ทั้งเสียงเครื่องยนต์ และประตูที่ออกแบบเป็นทรงปีกนกนางนวล

ปี 2011 เอเอ็มจีผลิตรถแข่งรุ่นแรกของบริษัท คือรถยนต์รุ่น SLS AMG GT 3 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ตลาดรถสปอร์ตที่มีสมรรถนะสูงเทียบเท่ารถแข่งของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์

ปี 2014 Mercedes-AMG ยังตอกยํ้าภาพความเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลก ด้วยการนำเสนอรถสปอร์ตระดับเรือธงตระกูล Mercedes-AMG GT ที่พัฒนามาจาก SLS ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรถสปอร์ตตระกูลที่ 2 ที่พัฒนาโดย Mercedes-AMG ทั้งหมด แนวคิดต่างๆ ทั้งการวางเครื่องยนต์ให้อยู่บริเวณตอนกลางของตัวรถ (mid-engine concept) เพลาส่งกำลังแบบใหม่ รวมทั้งโครง สร้างตัวถังที่ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลัก

ปี 2015 Mercedes-AMG ขายรถยนต์ได้กว่า 70,000 คัน เป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ด้วยการนำเสนอคอมแพ็กต์สมรรถนะสูงตระกูล 43 รวมถึงรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น AMG ทั้งในตระกูล C-Class, เอสยูวี และคอมแพ็กต์

ปี2017 Mercedes-AMG ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ด้วยสถิติยอดขายเกือบ 100,000 คัน ในปีก่อนหน้า

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,303 วันที่ 8 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1