ครม.อนุมัติลงนามร่างอนุสัญญา BIMSTECการให้ความช่วยเหลือทางอาญา
ครม.อนุมัติไทยลงนามร่างอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางอาญา 7 ประเทศรอบอ่าวเบงกอล
พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) (3ตุลาคม2560) มีมติอนุมัติการลงนามและการให้สัตยาบันในอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำเสนอ
ทั้งนี้ อนุสัญญาดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ 7 ประเทศรอบอ่าวเบงกอล ประกอบด้วย บังกลาเทศ อินเดีย เมียนมา ศรีลังกา เนปาล ภูฎาน และไทย ใน 14 สาขา ซึ่งใน 1 สาขาที่สำคัญ คือความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนี้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ภายใต้กรอบ BIMSTEC เป็นคณะทำงานหลัก โดยมีอินเดียเป็นประเทศนำ ซึ่งในส่วนของไทยมีสมช.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก
อนุสัญญาฉบับนี้จะมีการลงนามในการประชุมระดับผู้นำภายใต้กรอบ BIMSTEC ในเดือนธ.ค.60 ซึ่งจะเป็นการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเรื่องทางอาญา เช่น การสืบหาและระบุตัวบุคคลและวัตถุ, การส่งเอกสาร การจัดหาให้ซึ่งข้อสนเทศ เอกสาร และบันทึก เป็นต้น แต่ทั้งนี้จะไม่บังคับใช้ในเรื่องการจับกุมหรือคุมขังบุคคลใดๆ เพื่อส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดน การโอนตัวบุคคลซึ่งอยู่ในการควบคุมตามกฎหมายเพื่อส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดน การโอนตัวบุคคลซึ่งอยู่ในการควบคุมตามกฎหมาย เพื่อไปรับโทษหรือความผิดภายใต้กฎหมายทหารซึ่งมิได้เป็นความผิดภายใต้กฎหมายอาญาทั่วไป
รวมทั้งอาจปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือได้ ในกรณีที่เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตย ความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นการดำเนินการเพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลใดเนื่องจากสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ สัญชาติ ชาติกำเนิด หรือความเห็นทางการเมือง ซึ่งอนุสัญญาฉบับนี้จะไม่กระทบต่อสิทธิและพันธกรณีของภาคีแต่ละฝ่ายที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาหรือสนธิสัญญาอื่นๆ ที่ได้เป็นภาคีอยู่ รวมทั้งจะต้องมีการให้สัตยาบันด้วย
พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) (3ตุลาคม2560) มีมติอนุมัติการลงนามและการให้สัตยาบันในอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำเสนอ
ทั้งนี้ อนุสัญญาดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ 7 ประเทศรอบอ่าวเบงกอล ประกอบด้วย บังกลาเทศ อินเดีย เมียนมา ศรีลังกา เนปาล ภูฎาน และไทย ใน 14 สาขา ซึ่งใน 1 สาขาที่สำคัญ คือความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนี้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ภายใต้กรอบ BIMSTEC เป็นคณะทำงานหลัก โดยมีอินเดียเป็นประเทศนำ ซึ่งในส่วนของไทยมีสมช.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก
อนุสัญญาฉบับนี้จะมีการลงนามในการประชุมระดับผู้นำภายใต้กรอบ BIMSTEC ในเดือนธ.ค.60 ซึ่งจะเป็นการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเรื่องทางอาญา เช่น การสืบหาและระบุตัวบุคคลและวัตถุ, การส่งเอกสาร การจัดหาให้ซึ่งข้อสนเทศ เอกสาร และบันทึก เป็นต้น แต่ทั้งนี้จะไม่บังคับใช้ในเรื่องการจับกุมหรือคุมขังบุคคลใดๆ เพื่อส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดน การโอนตัวบุคคลซึ่งอยู่ในการควบคุมตามกฎหมายเพื่อส่งบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดน การโอนตัวบุคคลซึ่งอยู่ในการควบคุมตามกฎหมาย เพื่อไปรับโทษหรือความผิดภายใต้กฎหมายทหารซึ่งมิได้เป็นความผิดภายใต้กฎหมายอาญาทั่วไป
รวมทั้งอาจปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือได้ ในกรณีที่เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตย ความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นการดำเนินการเพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลใดเนื่องจากสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ สัญชาติ ชาติกำเนิด หรือความเห็นทางการเมือง ซึ่งอนุสัญญาฉบับนี้จะไม่กระทบต่อสิทธิและพันธกรณีของภาคีแต่ละฝ่ายที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาหรือสนธิสัญญาอื่นๆ ที่ได้เป็นภาคีอยู่ รวมทั้งจะต้องมีการให้สัตยาบันด้วย
