ทางออกนอกตำรา : ‘ผลประโยชน์ที่ซุกซ่อน’ เจรจาความเมืองสหรัฐฯ
ฉากหน้าการเดินทางมาเยือนไทยของ วิลเบอร์ แอล รอสส์ จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ก่อนที่นายกฯลุงตู่จะเดินทางไปเจรจาความเมืองแบบ “Face to Face” กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 2-4 ตุลาคม 2560 คือ...“การส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่าง 2 ประเทศ และแสวงหาแนวทางในการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน”
ว่ากันว่า การเจรจาที่รอบนี้ “บรรยากาศของความร่วมมือดีมาก” ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเมืองระหว่างประเทศ การค้า การลงทุน ความสัมพันธ์มีการพัฒนาตัวดีขึ้นเกินกว่าที่ไทยจะคาดคิด
ถึงขนาดมีวาทกรรมทางการเมือง ก่อนนายกฯลุงตู่จะเยือนสหรัฐฯว่า “เป็นจุดสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ”
ดังนั้น ใครที่วิตกกังวลว่า การเปิดทำเนียบขาวต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้นำรัฐบาลไทยที่มาจากรัฐประหาร แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เชื้อเชิญมาพบปะ
แล้วประเทศไทยอาจจะต้องเสียผลประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี ที่เกรงว่าไทยจะถูกดึงเข้าสู่วงจรความขัดแย้งรวมไปถึงเรื่องการจัดซื้ออาวุธ ที่ถูกจับตา และภารกิจนี้นายกฯลุงตู่จะ “เสียมากกว่าได้” อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
เพราะฉากหลังในการเจรจาความเมืองกันกับทีมเศรษฐกิจของไทยนั้น ว่ากันว่า “ราบรื่น”
ข้อเสนอของ กลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในเรื่องปัญหาคาบสมุทรเกาหลี ปัญหาทะเลจีนใต้ การก่อการร้าย มีข่าวภายในบอกว่าไทยได้เสนอแนวทางไปในจุดยืนชนิดที่ “ตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ” ที่รับนโยบาย “อเมริกัน เฟิสต์” มีคำชี้แจงที่ดีให้กับทำเนียบขาว ที่จะยกเรื่องขึ้นให้โดนัลด์ ทรัมป์ยกขึ้นเจรจากับไทยได้อย่างสง่างาม แต่ไทยจะเสียอะไร...ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
แต่อย่างน้อยการเดินทางไปเยือนสหรัฐฯในวันที่ 2-4 ตุลาคม โดยในวันที่ 3 ตุลาคม นั้น มีวาระเต็มเอี๊ยดของนายกฯลุงตู่นั้นได้สร้างประวัติศาสตร์
ทางการเมืองของ นายกฯลุงตู่ และประเทศไทยชัดเจน ว่า “ประตูทางการเมืองในเรื่องประชาธิปไตย”ซึ่งเคยถูกลั่นดานมายาวนาน “ถูกเปิดออกมาแล้ว”โดยนํ้ามือของ “นายทหารชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ถึงกระนั้นเรื่องที่คนไทยทั้งชาติควรติดตามแบบขอบสนาม “มิได้อยู่ที่ท่าทางในสมรภูมิเกาหลีเหนือ”อย่างเดียว หากแต่มีความร่วมมือทางการค้า การลงทุนหลายชนิดที่ต้องเกาะติดกันเลยทีเดียว
เพราะในการรือกันทั้งรอบแรก และวันที่ 2 ของรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯกับนายกฯลุงตู่และ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ นั้น มีเอกชนที่รัฐบาลวอชิงตันดี.ซี.ประกาศ “อเมริกัน เฟิร์ส” เข้าร่วมทุกรอบ แต่สาระแห่ง “ข่าวสารมิปรากฎ” ประกอบด้วย...
1. นายคีธ วิลเลียมส์ ประธานบริหารและกรรมการบริษัท Underwriters Laboratories. (UL)
2. นาย สกิป บอยซ์ ประธาน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Boeing
4. นายสตีเฟน ดับเบิลยู กรีน ประธานบริษัท Chevron Asia-Pacific Exploration and Production Company
5. นายมาร์ก คอฟมาน ประธาน Ford ASEAN
6. นายวาวเตอร์ แวน เวิร์สช ประธานและประธานบริหาร อาเซียนบริษัท General Electric
7. นายจอน อี ฮิวเนมานน์ รองประธาน กิจการบรรษัทในสหรัฐอเมริกาและระหว่างประเทศ บริษัท Phillip Morris International และผู้แทน U.S.-ASEAN Business Council (USABC)
ถ้าคุณคิดว่าในการเจรจาจะออกมาเพียงแค่ “ภาคเอกชนสหรัฐฯ ยืนยันที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนร่วมในการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิตอล รวมทั้งการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูง ตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลไทย”ตามที่ “พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค” สรุปการหารือ คุณก็เป็น “CAT-แมวน้อย” ในทางการเมืองและธุรกิจละครับ
ลองไปพิจารณาเบื้องลึกดู ไทยมีแผนซื้อเครื่องบินฝูงบินในระยะอันใกล้ รวม 28 ลำ ในจำนวนนี้จะมีเครื่องบินโบอิ้งกี่ลำ...ใครตอบได้บ้าง...โปรดเขียนแปะข้างฝาไว้ แล้วรอคอยคำตอบ...
บริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ มีปัญหาทางภาษีการนำเข้ากับไทยอย่างต่อเนื่อง จนมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับไทย เพราะมีการตรวจสอบพบว่าบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้า มาร์ลโบโร และแอลแอนด์เอ็ม สำแดงการนำเข้าสินค้าบุหรี่จากฟิลิปปินส์แค่ซองละ 7.76 บาท และ 5.88 บาท
ขณะที่ผู้นำเข้าอิสระเจ้าอื่น 3 รายคือ บริษัท สายการบินกรุงเทพ จำกัด บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บริษัทอลิส อินเตอร์ จำกัด ที่สำแดงนำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโรซองละ 27.46 บาท บุหรี่ยี่ห้อแอลแอนด์เอ็มซองละ 16.81 บาท สำแดงราคานำเข้าตํ่าไป 68,881 ล้านบาท
คุณคิดว่าเรื่องนี้จะมีการเจรจาความเมืองหรือไม่...
ประเทศไทยกำลังจะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทย คุณคิดว่าประธานบริษัท Chevron Asia-Pacific จะยกขึ้นมาหารือเพื่อกำหนดท่าทีกับรัฐบาลไทยหรือไม่
แต่ไทยจะได้อะไรติดมือ...
ลึกแต่ไม่ลับ คือการที่สหรัฐฯจะประกาศเปิดทบทวนสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยนอกรอบการทบทวนปกติ (OCR) เพื่อปรับสถานะไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (PWL) ภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ หลังจากที่จัดให้ไทยอยู่ในบัญชี PWL มาแล้ว 11 ปี คือรางวัลที่นายกฯลุงตู่และทีมชุดใหญ่ของรัฐบาลไทยจะได้ติดไม้ติดมือกลับมา
เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ รอลุ้นกันครับ...
คอลัมน์ : ทางออก นอกตำรา /หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ/ ฉบับ 3301 ระหว่างวันที่ 1-4 ต.ค.2560
