แจงยิบ! “สิทธิประโยชน์ EEC” ใครได้-ใครเสีย?

28 ก.ย. 2560 | 11:39 น.
สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับ “สิทธิประโยชน์ต่อนักลงทุนในพื้นที่ EEC กับการดำเนินโครงการในมิติต่าง ๆ” ... โดยในวันนี้ (28 ก.ย. 60) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ 175 คะแนน รับหลักการ “ร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ...” ซึ่งกำหนดกรอบเวลาทำงานต้องให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ก่อนส่งกลับมาให้ สนช. ลงมติอีกครั้ง

-“สิทธิในการใช้ที่ดิน” ของนักลงทุนต่างชาติ ที่ยาวถึง 99 ปี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ระยะยาวเกินไป”-
“คำถามนี้อยู่บนความเข้าใจที่ผิด เพราะ พ.ร.บ.EEC กำหนดระยะเวลาที่ใช้สิทธิการเช่าใช้ที่ดินนั้น คือ ‘สูงสุด 50 ปี และต่อได้อีกไม่เกิน 49 ปี’ ซึ่งปัจจุบันนี้มีกฎหมายที่กำหนดการใช้ที่ดินระยะยาวอยู่แล้ว เช่น

1.พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรม พ.ศ. 2542 กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้ 30-50 ปี และต่อให้ต่ออายุการเช่าอีกได้ไม่เกิน 50 ปี

2.คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 17/2558 กำหนดให้การเช่าที่ดินในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน มีระยะเวลาการเช่าไม่น้อยกว่า 50 ปี และอาจต่ออายุการเช่าได้อีกตามระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด

3.ในประเทศอื่น ๆ เช่น ‘มาเลเซีย’ กำหนดให้เช่าได้ไม่เกิน 99 ปี, ‘กัมพูชา-ลาว’ กำหนดระยะเวลาการเช่าที่ดินในเขตส่งเสริมได้สูงสุด 99 ปี ส่วน ‘เวียดนาม’ 70 ปี และต่อได้หลายครั้ง

4.ด้านการถือครองที่ดิน ปัจจุบัน พ.ร.บ.การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้ประกอบการต่างชาติ สามารถถือกรรมสิทธิในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฯ กำหนดให้ผู้ประกอบการมีสิทธิถือกรรมสิทธิที่ดินได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดตามอายุบัตรส่งเสริม”


-ปริมาณการใช้งบประมาณแผ่นดินในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ “โครงการ EEC” นั้น ถือว่า มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย มากกว่ากรอบงบประมาณของรัฐบาลใด ๆ ก่อนหน้านี้-
“รัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา เห็นความจำเป็นในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยกำหนดไว้ 1.5 ล้านล้านบาทบ้าง 2.0 ล้านล้านบาทบ้าง แต่ไม่ได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะขยายให้ EEC เป็นประตูเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก ก็อยู่บนความจำเป็นเดียวกับรัฐบาลที่ผ่านมา

โครงการหลัก ๆ เกือบทั้งหมดใน EEC ที่จริงเป็นการ ‘ริเริ่ม’ และ ‘อนุมัติ’ จากรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการท่าเรือแหลมฉบัง, ท่าเรือมาบตาพุด และมอร์เตอร์เวย์ โดยโครงการเหล่านี้ผ่านการพิจารณาและบางโครงการก็ได้การดำเนินการทำ EIA แล้วเสร็จไปแล้ว ขณะที่ หลายโครงการก็อยู่ในกระบวนการทำ EIA กันมาโดยต่อเนื่อง

EEC ทำหน้าที่ประสานโครงการเหล่านี้ให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศโดยเฉพาะ
1.สนามบินอู่ตะเภา ต้องเป็นเมืองการบินภาคตะวันออก คือ เป็น ‘ฮับของธุรกิจการบินของไทย’
2.รถไฟความเร็วสูง ต้องเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เต็มที่และสนับสนุนการท่องเที่ยว ลดความแออัดของสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
3.3 ท่าเรือน้ำลึก ต้องมีรถไฟรางคู่เข้าเชื่อม เพื่อเพิ่มการขนส่งทางราง ลดการขนส่งทางถนนโดยเร็วที่สุด ให้ได้มากที่สุด เพื่อความสะดวกในการเดินทางและลดอุบัติเหตุ

โครงการใหม่ที่เกิดขึ้นใน EEC คือ การพัฒนา ‘สนามบินอู่ตะเภา’ ให้เป็นเมืองการบินภาคตะวันออก

อย่างไรก็ตาม เป็นความตั้งใจที่ยาวนานหลายทศวรรษ ตั้งแต่มีโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกครั้งนี้ คือ การทำให้วิสัยทัศน์และความตั้งใจที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ก็เห็นความจำเป็นในการนำ ‘สนามบินอู่ตะเภา’ มาใช้ประโยชน์ทางเชิงพาณิชย์ตลอดมา จึงเป็นความภูมิใจของ EEC ที่รัฐบาลชุดนี้สามารถผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน”


-การให้เอกชนเข้ามาบริหารพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เป็นการให้ประโยชน์แก่เอกชนบางราย?-
“ต้องเข้าใจว่า ทุกทางเลือกมีข้อจำกัด มีข้อดี ข้อเสีย ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณแผ่นดินในการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อเป็นการไม่ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อลงทุนกับโครงการต่าง ๆ รัฐบาลได้เลือกที่จะใช้วิธีการร่วมทุนกับเอกชน หรือ PPP (Public Private Partnership) ที่รัฐบาลเองจะมีเอกชนเป็นคู่สัญญา

**การหาเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหาได้ 3 ทาง ซึ่งมีความเหมาะสมต่างกัน**

1.ใช้งบประมาณ ...ไม่เหมาะสม เพราะงบประมาณมาจากภาษีอากร ซึ่งควรนำไปช่วยเหลือประชาชนทางด้านการศึกษา การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การป้องกันประเทศ และการสาธารณสุข

หากใช้วิธีนี้ ไม่มีงบประมาณไปช่วยด้านสังคมและช่วยคนจน”

2.เงินกู้ ...เหมาะสมกับบางโครงการ เช่น รถไฟรางคู่-อ่างเก็บน้ำ เพราะเป็นโครงการที่ความจำเป็นสูง แต่มีผลตอบแทนทางการลงทุนน้อย และรัฐต้องลงทุนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาด และเอกชนไม่สามารถร่วมลงทุนได้

หากใช้วิธีนี้มาก ๆ เกินกำลัง จะเป็นหนี้สาธารณะไปถึงคนรุ่นต่อไป

3.การร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน ...เหมาะสมสำหรับโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงินและเอกชนสนใจลงทุน โดยหากรัฐจะให้เงินชดเชยบ้าง ก็ได้ กรณีเหมาะสมสำหรับ รถไฟความเร็วสูง, สนามบินอู่ตะเภา และท่าเรือน้ำลึก ซึ่งจะเป็นการประหยัดเงินงบประมาณให้ประเทศสามารถไปหางานที่สำคัญให้กับประเทศและประชาชนผู้มีรายได้น้อย

หากใช้วิธีนี้ ได้การลงทุนจากเอกชนมีเงิน เงินเหลือจำนวนมาก และได้ใช้ประโยชน์จากโครงการทันที โดยต้องดูแลกำกับโครงการตามสัญญาด้วย วิธีนี้ เอกชนผู้ร่วมลงทุนเองจะเข้ามาบริหารพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ได้จากสัญญา ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล ย้ำว่า วิธีนี้เป็นการลดภาระทางงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลได้”

แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ

 

-การใช้จ่ายเงินงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาล ควรกระจายไปในทุก ๆ พื้นที่ มากกว่าการลงกับจังหวัดเพียงแค่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกเท่านั้น-
“พื้นที่นี้ได้ถูกวางตำแหน่งและได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ยุค Eastern Seaboard เมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว ให้เป็น ‘ประตูของประเทศ’ ท่าเรือขนาดใหญ่ก็ตั้งอยู่ที่นี่ เป็นปากประตูของเศรษฐกิจทั้งประเทศ มิใช่เป็นพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เป็นของตนเอง การลงทุนพัฒนากับประตูของประเทศ เป็นการลงทุนเพื่อคนทั้งประเทศ ที่ผู้ได้รับประโยชน์ คือ ประเทศไทยทั้งหมด มิใช่พื้นที่เดียว

 

tp11-3297-a

 

คนในพื้นที่ 3 จังหวัด เขาคิดตรงกันข้ามว่า ทำไมต้องมาแบกรับภาระการเป็นประตูและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจให้กับคนทั้งประเทศ

นอกจากนี้ การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานมิได้พิจารณาอย่างเป็นอิสระจากโครงข่ายอื่น ๆ ในภูมิภาคอื่น ๆ หากแต่ได้มีการวางแผนให้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบ เช่น การขนส่งระบบรางพื้นที่นี้ ที่จะต้องเชื่อมต่อกับรถไฟทางคู่จากหนองคายและเชียงใหม่ เป็นต้น

สำหรับ ‘สนามบินอู่ตะเภา’ ที่ได้รับการพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์ จะเป็นการลดภาระจากสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิที่แออัดอยู่แล้ว และเป็นการกระจายตัวออกมา”


-สิทธิพิเศษ “การลดภาษีนิติบุคคล” ให้แก่นักลงทุนที่ให้มากกว่าที่เคยเป็น-
“เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะว่า สิทธิพิเศษที่มีการอ้างถึงว่า เป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่มีอยู่ตามกรอบกฎหมาย BOI ที่มีอยู่เดิม เมื่อมีระเบียงของ BOI ระบุเอาไว้ และเป็นไปตามกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ทั้งหมดมิได้มีอะไรที่มากเกินไปกว่าเพดานที่ BOI ได้มีการระบุเอาไว้

กรณี ‘กระทรวงการคลัง’ ซึ่งได้เพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 17% ‘เป็นการสร้างฐานภาษีใหม่’ เพราะเมื่อเราเก็บภาษีแพง ผู้บริหาร นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ เหล่านี้ไม่เปิดบัญชีหรือยื่นภาษีในประเทศไทย แต่เปิดบัญชีเงินเดือนอยู่ต่างประเทศ เข้ามาทำงานโดยไม่เสียภาษี ดังนั้น การกำหนดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 17% ทำให้ประเทศไทยได้บัญชีเงินเดือนเหล่านี้มาอยู่ในประเทศไทย และเรากลับได้รับภาษีส่วนนี้ 17% เพิ่มเติมแทน”


-อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ดึงเข้ามา ไม่ได้ช่วยสร้างงานเพิ่มเติมให้กับคนไทย และยังเป็นอุตสาหกรรมเบา ที่อาจจะนำไปสู่การเคลื่อนย้ายการลงทุนได้ง่าย-
“ไม่มีอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานราคาถูกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EEC ภูมิทัศน์ อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปมาก อุตสาหกรรมมีการพัฒนาไปมาก EEC จึงวางพื้นฐานสำหรับ ‘อุตสาหกรรมใหม่’ ที่กำลังเติบโต และหากว่า เราไม่พัฒนาตาม ที่สุดก็จะโดนแซงไป ยกตัวอย่างเช่น

1.อุตสาหกรรมการบิน หากไม่มีการนำอุตสาหกรรมการบินเข้ามาในประเทศไทย ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินโลกและอุตสาหกรรมในภูมิภาค เราก็จะโดนทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

2.อุตสาหกรรมรถไฟฟ้า คือ อุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทมากกว่าอุตสาหกรรมรถเครื่องยนต์สันดาป หากไม่วางพื้นฐานประเทศไทย ก็จะโดนทิ้งไว้เบื้องหลัง

3.อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และ Automation ก็คือ ทิศทางอุตสาหกรรมโลก เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และทั้งหมดนี้ คนไทยจะอยู่เบื้องหลังในการขับเคลื่อนไปด้วย"

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว