5 เหตุผลที่องค์กรยุคใหม่ ต้องใช้ IoT

30 ก.ย. 2560 | 07:33 น.
ท่ามกลางความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในปัจจุบันของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ภาคธุรกิจต้องเตรียมพร้อมในการมองหาและเติมเต็มความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการรับส่งสินค้า หรือโลจิสติกส์

โดยปัจจุบัน ผู้นำตลาดทุกภาคอุตสาหกรรมได้ตระหนักถึงข้อบกพร่องของการพึ่งพาแอพพลิเคชันด้านโลจิสติกส์ที่ตายตัวแบบเดิมมากกว่าที่เคยเป็น การก้าวขึ้นเป็นผู้นำท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่งนี้ ธุรกิจทั้งหลายต่างนำโซลูชันซัพพลายเชนแบบครบวงจร ที่มีความทันสมัยและยืดหยุ่นมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้องค์กรพร้อมปรับเปลี่ยนและสร้างสรรค์นวัตกรรม องค์กรจำเป็นที่จะต้องเชื่อมขั้นตอนต่างๆ ให้อำนาจแก่พนักงาน และทำให้รูปแบบการทำงานและระบบซัพพลายเชนง่ายขึ้น

นายอมิต ซูซีน่า รองประธานกรรมการแอพพลิเคชันประจำภูมิภาคอาเซียน ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงแบบพลิกโลก (Disruptive technology) เช่น IoT ทำให้การเปลี่ยนผ่านของระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปัจจุบันเกิดขึ้นได้ ด้วยอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน ทำให้องค์กรเห็น รับรู้ และเกิดการวิเคราะห์จากข้อมูลเรียลไทม์ ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม ปกป้องผลประโยชน์ และบริการของลูกค้าได้เปอร์เซ็นต์ของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยสำหรับธุรกิจ นั่นอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กับการตามหลังเส้นโค้งแห่งดิจิตอลอยู่ถึง 2 ก้าว

tp8-3300-a โดยเหตุผล 5 ประการที่องค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องนำ IoT เข้ามามีบทบาทในกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านระบบซัพพลายเชนนั้น ประกอบด้วย 1. IoT ช่วยปรับปรุงการเติบโตของภาคธุรกิจ ทำให้ทุกหน่วยงานมองเห็นภาพธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยวิวัฒนาการของธุรกิจดิจิตอล ศักยภาพในการเห็นและคาดการณ์ทางธุรกิจ ทำให้รูปแบบการดำเนินงานช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและความแตกต่างทางด้านการแข่งขัน เส้นทางแห่งยุคดิจิตอลเริ่มต้นจากการผสานทุกหน่วยงานในองค์กร ด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบ End-to-end อันสมบูรณ์แบบ IoT คือด้ายเส้นสำคัญที่จะเชื่อมฟังก์ชันต่างๆ เข้าด้วยกัน

2. IoT จะขับเคลื่อนนวัตกรรมและเพิ่มผลผลิตด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) โดยการชำรุดเสียหายของอุปกรณ์ต่างๆ อาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายอันมหาศาลให้แก่องค์กร แต่หากมีการรายงานข้อมูลการทำงานของอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ ธุรกิจสามารถรู้ที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ก่อนที่หายนะอันใหญ่หลวงนั้นจะทำให้กำไรลดลง ด้วยIoT บริษัทสามารถเปรียบเทียบโรงงานแต่ละแห่ง และทำการวัดผลอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นใจว่าโรงงานทุกแห่ง และสายงานการผลิตมีการดำเนินงานอย่างราบรื่น IoT ทลายอุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างลูกค้ากับองค์กร ด้วยข้อมูลที่ได้จากการเชื่อมต่อกันของอุปกรณ์ต่างๆ และการป้อนข้อมูลกลับเข้าไป ทำให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เริ่มจากการให้บริการและผลักดันนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า

3. IoT ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์จากการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ต่างๆ โดยการติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ใดก็ได้ ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจที่มาและการทำงานของข้อมูลเหล่านั้นว่าเป็นไปอย่างไร เมื่อมีข้อมูลว่าอุปกรณ์นั้นๆ ต้องการการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน จะมีการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติไปยังเจ้าหน้าที่ให้บริการทางเทคนิคเพื่อเข้ามาประเมินสถานการณ์ บริษัทยังสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจากความเสื่อมเสียหรือทราบแม้กระทั่งว่ามีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์นั้นๆ เพื่อป้องกันการลักทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความสามารถในการติดตามเฝ้าดูสภาพแวดล้อมของอุปกรณ์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ความชื้น และการติดตามตำแหน่ง ข้อมูลเชิงลึกของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ทำให้องค์กรสามารถคาดการณ์การซ่อมบำรุงและปรับปรุงระบบซัพพลายเชน เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ของลูกค้าโดยรวมให้ดีขึ้น

4. IoT จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยระบบดูข้อมูลกลุ่มรถแบบเรียลไทม์ (Fleet Monitoring) โดยบริษัทสามารถทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานและการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมของยานพาหนะได้แบบเรียลไทม์ การเชื่อมต่อยานพาหนะและสินค้ากับ IoT จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาเครื่องมือเครื่องใช้ให้คงสภาพพร้อมใช้งาน เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าด้วยการคาดการณ์เวลาที่สินค้าจะถึงมือลูกค้าได้เร็วขึ้น (ETA) รวมถึงยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย IoT ยังสามารถช่วยให้บริษัทติดตามพฤติกรรมพนักงานขับรถ และใช้การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อคาดการณ์การซ่อมบำรุง บริษัทสามารถตัดสินใจและใช้ประโยชน์จากความอัจฉริยะในการคาดการณ์ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและประโยชน์ให้กับระบบซัพพลายเชน

5. IoT ช่วยติดตามพฤติกรรมพนักงานเพื่อลดความเสี่ยง โดยการที่พนักงานได้รับอุปกรณ์สวมใส่ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตIoT ทำให้บริษัทสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมของสถานที่ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน บริษัทสามารถเฝ้าติดตามดูสุขภาพสถานที่และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของพนักงานแต่ละคนได้จากข้อมูลที่มีการรวบรวม ทำให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงนโยบายต่างๆ ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดและป้องกันอุบัติเหตุได้ IoT ทำให้เกิดการทำงานที่เป็นอัตโนมัติ รวมถึงการติดตามการทำงานซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดความผิดพลาดอันอาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,300 วันที่ 28 - 30 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1