137 พิลลาร์ส โฮเต็ลสฯ เป้า 5 ปีเบอร์ 1 โรงแรมเล็ก-หรูเอเชีย

30 ก.ย. 2560 | 11:07 น.
จุดเริ่มต้นของแบรนด์“137 พิลลาร์ส โฮเต็ลส แอนด์ รีสอร์ทส” ซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูลวงศ์
พันเลิศ เจ้าของ กังวาล กรุ๊ป ผู้ผลิตเส้นใยสิ่งทอ ส่งออกรายใหญ่ของไทย ได้เริ่มจากการเป็นเจ้าของและบริหารโรงแรม 3 แห่งของตัวเอง มาวันนี้เริ่มผันตัวเองสู่บทบาทผู้รับบริหารโรงแรมในกลุ่มลักชัวรีขนาดเล็ก และมองการร่วมลงทุนในทำเลทอง ในภูมิภาคอาเซียน ภายใต้เป้าหมายที่จะเป็นอันดับ 1 ของตลาดโรงแรมหรูขนาดเล็กในภูมิภาคนี้ภายใน 5 ปี อ่านได้จากสัมภาษณ์นายคริสโตเฟอร์ อี. สแตฟฟอร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ 137 พิลลาร์ส โฮเต็ลส แอนด์ รีสอร์ทส

**ทุ่ม2พันล.ผุดรร.หรูภูเก็ต
เราเริ่มก่อตั้งบริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมดังกล่าวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เราวางตำแหน่งทางการตลาดของ “137 พิลลาร์ส โฮเต็ลส แอนด์ รีสอร์ทส” โดยโฟกัสความเป็นโรงแรมหรูขนาดเล็กและมีความพิเศษเฉพาะตัว เน้นนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุด ด้วยบริการระดับพรีเมียม เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึง Life Balance หรือการนำสมดุลกลับคืนมาสู่ชีวิต

โดยโรงแรมหรูขนาดเล็ก ยังไม่ค่อยมีผู้เล่นในตลาดนี้มากนัก เริ่มจาก “137 พิลลาร์ส
เฮาส์” ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเราเองที่เชียงใหม่เมื่อราว 5 ปีที่แล้ว ตลาดหลักตอนเปิด คือ จีน สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และคนไทยก็มีบ้างในช่วงฤดู หนาว เป็นห้องสวีตทั้งหมด
เพดานสูง โปร่งโล่ง กว้าง มีระเบียงทุกห้อง ให้ลูกค้าได้พักผ่อน และเน้นให้บริการดูแลสุขภาพลูกค้าแบบองค์รวม

[caption id="attachment_212803" align="aligncenter" width="335"] คริสโตเฟอร์ อี. สแตฟฟอร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ 137 พิลลาร์ส โฮเต็ลส แอนด์ รีสอร์ทส คริสโตเฟอร์ อี. สแตฟฟอร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ 137 พิลลาร์ส โฮเต็ลส แอนด์ รีสอร์ทส[/caption]

จากนั้นในปีนี้เราได้เปิดตัว “137 พิลลาร์ส สวีส แอนด์เรสซิเดนเซส กรุงเทพฯ” ที่ถนนสุขุมวิท ซอย 39 เป็นโรงแรมหรูขนาด 33 ห้อง และเซอร์วิสอพาร์ต เมนต์ 179 ห้อง ส่วนโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะเป็นพูลวิลล่า 66 หลัง บนหาดกะตะ จ.ภูเก็ต ซึ่งทางเจ้าของมีที่ดินอยู่แล้ว ลงทุนราว 1.8-2 พันล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 2 ปีครึ่ง ตั้งราคาขายอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ต่อคืน ถือเป็นราคาระดับท็อปของภูเก็ต

**รุกขยายแบรนด์สู่ต่างประเทศ
อีกทั้งตอนนี้ถึงจุดที่เรากำลังสร้างทีมงาน เพื่อรุกขยายแบรนด์ออกไปสู่ระดับภูมิภาค ซึ่งจะเริ่มด้วยเมียนมา เวียดนาม ลาว กัมพูชา เราต้องการเป็นแบรนด์ไทย (home-grown Thai brand) ซึ่งปัจจุบันเรามีโรงแรมในเมืองพุกาม ประเทศเมียนมา ที่เพิ่งเริ่มก่อสร้าง ประกอบด้วยห้องสวีต 42 ห้อง โดยเป็นโครง การร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นคือ เฮอริเทจ แคปปิตอล พาร์ทเนอร์ โดยเราถือหุ้น 8% มูลค่าโครงการโดยคร่าวๆ คาดว่าไม่เกิน 500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนมีนาคม 2562

โครงการในอนาคตระยะ 5 ปีนี้ เรามีเป้าหมายจะบริหารโรงแรมในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สำคัญๆของอาเซียน เช่น ย่างกุ้ง เวียงจันทน์ ฮานอย โฮจิมินห์ ฯลฯ รวมทั้งเมืองที่เป็นเมืองรีสอร์ตตลาดบน เช่น บาหลี ฮอยอัน ดานัง เว้ ดาลัต ถ้าเป็นที่เมียนมา ซึ่งเป็นเมืองมรดกทางวัฒนธรรม เรามองไว้อีกนอกจากพุกาม คือ ทะเลสาบอินเล

ผมคิดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าเราจะบริหารโรงแรม 8-10 แห่ง ส่วนในประเทศไทย เราคงพอแล้วที่ 3 แห่ง หรือถ้าจะมีเพิ่มอีกก็คงจะเป็นที่สมุย นอกนั้นจะเป็นในต่างประเทศทั้งหมด โดยปีนี้ที่สหรัฐอเมริกา เราได้รับรางวัลเป็น Best Hotel ในกลุ่มโรงแรมหรูขนาดเล็กของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมคิดว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าเราจะเป็นโรงแรมหรูขนาดเล็กที่ดีที่สุดในเอเชีย

MP22-3300-A **ลูกค้าจ่าย350ดอลล์ต่อคืน
สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัญหาหรือความท้าทายสำหรับโรงแรมขนาดใหญ่ๆ คือ เมื่อมีจำนวนลูกค้าในกลุ่มจ่ายหนักไม่มากพอ ก็จำเป็นต้องลดราคาที่พักลงมา แล้วก็ทำให้ทั้งตลาดต้องปรับราคาลงตามกัน แต่สำหรับเรา ซึ่งเป็นโรงแรมหรูขนาดเล็ก มุ่งโฟกัสลูกค้าเฉพาะกลุ่มคือกลุ่ม luxury traveler จึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะลูกค้าของเราเป็นผู้ที่สามารถจ่ายค่าที่พัก 350 ดอลลาร์ (กว่า 11,500 บาท) ต่อวัน นั่นเป็นอัตราตํ่าสุดของที่พักระดับสแตนดาร์ดของเรา หรือบางรายก็ยอมจ่ายสูงถึง 28,000 บาทต่อวัน แต่สิ่งที่เราจัดหนักให้กับลูกค้าคือบริการระดับพรีเมียมที่ลงลึกในรายละเอียด สิ่งใดที่ลูกค้าต้องการ เราพยายามสรรหามามอบให้ เช่น บริการบัตเลอร์และบริการพิเศษอื่นๆ

“เราเชื่อว่าสิ่งที่เป็น true Thai hospitality คือ ความหรูหรา เป็นประสบการณ์ที่ละเอียดประณีต นั่นคือ good hospitality จากผลการวิจัยของเราพบว่า นักท่องเที่ยวในกลุ่ม luxury traveler ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ได้ต้องการโรงแรมใหญ่ แต่พวกเขาต้องการพื้นที่สงบเงียบเป็นส่วนตัว พื้นที่กว้างๆ สำหรับตัวเขาเอง พวกเขายินดีจ่ายเพื่อสิ่งนี้ จากประสบการณ์ของเราที่เชียงใหม่และที่กรุงเทพฯ ทำให้เรามั่นใจว่ามีตลาดสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ รัฐบาลไทยเองก็กำลังมีนโยบายที่ต้องการจะโปรโมตนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ ผมจึงคิดว่ามันสอดคล้องและไปกันได้ดีกับคอนเซ็ปต์โรงแรมของเรา”

ผมคิดว่าตลาดนักท่องเที่ยวจากเอเชียเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคนี้ อย่างที่เชียงใหม่ นักท่องเที่ยวจากจีนครองส่วนแบ่งตลาดราวๆ 30-40% อีกกลุ่มที่มีสัดส่วนพอๆ กันคือนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา นี่คือ 2 ตลาดใหญ่สุดสำหรับกลุ่มโรงแรมหรู แต่จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวจากหลายๆ ประเทศแถบเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย รวมทั้งบางประเทศในตะวันออกกลาง ก็เป็นกลุ่มนักเดินทาง luxury traveler มีบทบาทมากขึ้น

ดังนั้น ในแง่การทำการตลาด แต่ละปีเราเองก็จำเป็นต้องเดินทางไปร่วมงานเทรดแฟร์ด้านการท่องเที่ยวในตลาดหลักๆ ของเราเช่นกัน เพื่อพบปะลูกค้า เอเยนต์และตัวแทน เช่นที่ไมอามี ซาน ฟรานซิสโก ลอสแองเจลีส ฝรั่งเศส เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ต้องเดินทางไกลในตลาดนานาชาติเพื่อหาลูกค้ามาเติมเต็มให้กับห้องพักที่เรามี จำนวนไม่มากนัก เราต้องหาให้พบว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายนั้นอยู่ที่ไหน ยกตัวอย่างเช่นที่ญี่ปุ่น มีคน 800,000 คนที่มีรายได้ต่อปีกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เราก็ต้องหาพวกเขาให้เจอ และเรายังเป็นสมาชิกองค์กรอย่าง Small Luxury Hotels Group และลูกค้ายังสามารถเข้าถึงเราโดยตรงผ่านทางเว็บไซต์ด้วย

ทั้งหมดล้วนเป็นทิศ ทางการขยายธุรกิจของ 137 พิลลาร์ส โฮเต็ลส แอนด์
รีสอร์ทส ที่เกิดขึ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,300 วันที่ 28 - 30 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1