‘เอสแอนด์พี’ลุยตปท.ปูพรมขยายสาขา-จับคนรุ่นใหม่-เป้าโตตัวเลขสองหลัก

30 ก.ย. 2560 | 11:05 น.
เปิดยุทธศาสตร์ “เอสแอนด์พี” ปูพรมสร้างแบรนด์แกร่งทั้งใน-ต่างประเทศ ซุ่มพัฒนาแบรนด์น้องใหม่ “S&P GO GO BOX” จับไลฟ์สไตล์นิวเจเนอเรชัน พร้อมจับมือพันธมิตรปั้นรายได้ วางเดิมพัน 3-5 ปีต้องเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก

ในยุคที่ความนิยมของเชนร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลีมาแรง แน่นอนว่า “ร้านอาหารไทย” ย่อมถดถอย ผู้ประกอบการดังหลายแบรนด์เลือกที่จะปรับแผนด้วยการแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ต่อยอดสร้างการเติบโตให้กลับมา รวมถึงแบรนด์ร้านอาหารไทยคลาสสิก “เอสแอนด์พี” (S&P) หนึ่งในแบรนด์ที่ออกมายอมรับว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับการเติบโตที่ลดลงเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว แต่นับจากนี้แผนการสร้างอาณาจักร “S&P” ให้กลับมายิ่งใหญ่ให้ได้ภายใน 3-5 ปี

โดย “ฐานเศรษฐกิจ” มีโอกาสเปิดใจ “เกษสุดา ไรวา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) แม่ทัพใหญ่ที่ประกาศนำพา S&P เติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ

**กลยุทธ์ใหม่จับคนรุ่นใหม่
“เกษสุดา” บอกว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจ
ในช่วง 3-5 ปีนับจากนี้ มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปค่อนข้างรวดเร็ว โดยจะใช้สิ่งที่เป็นจุดแข็งของบริษัทคือ คุณภาพ การลงทุนในส่วนของโรงงานผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านงบประมาณหลายสิบล้านบาทต่อปี ควบคู่กับการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์

นอกจากนี้ยังนำกลยุทธ์ทางการตลาดแนวทางใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น เบื้องต้นขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำแผนงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบริการดีลิเวอรี ช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งต้องมีการจัดวางระบบเพิ่มเติม
“บริษัทลงทุน R&D ด้วยงบประมาณหลายสิบล้านบาทต่อปีเพื่อพัฒนาแบรนด์ ผ่าน Innovation Center ซึ่งนอกจากพัฒนาแบรนด์ให้กับเอสแอนด์พี ยังพัฒนาแบรนด์และรสชาติในรูปแบบโออีเอ็มตามที่พันธมิตรต้องการทั้งบิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส,
เซเว่นอีเลฟเว่น ฯลฯ”

MP36-3300-A **แกร็บแอนด์โกบาย“S&P”
“เกษสุดา” บอกว่า แผนงานแรกที่เอสแอนด์พีทำและเชื่อว่าจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์คือการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “S&P GO GO BOX” ในคอนเซ็ปต์ “แกร็บแอนด์โก” ซึ่งประเดิมเปิดและขยายแบบเงียบๆ 3-4 แห่งบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งรูปแบบของ “S&P GO GO BOX” ถือเป็นโมเดลใหม่ที่เปิดขึ้นมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์นิวเจเนอเรชัน ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในย่านที่มีการสัญจรไป-มาสูง
หากร้านโมเดลนี้ประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค ก็จะเดินหน้าขยายสาขาอย่างจริงจังในปีหน้าพร้อมกับปรับสาขาตามสถานีบริการนํ้ามันซึ่งมีอยู่ 40 แห่งให้เป็นโมเดลแกร็บแอนด์โกด้วย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับโลเกชัน ที่เหมาะกับการเดินทางด้วย

“เบื้องต้นจะทดลองให้บริการก่อน ด้วยรูปแบบที่แตกต่างและมีราคาขาย 80-200 บาทเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งหากประสบความสำเร็จสูงก็จะปรับเปลี่ยนสาขาในปั๊มนํ้ามันรองรับทันที ควบคู่ไปกับการเปิดสาขา S&P อีก 2 แห่ง ซึ่งจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 15 ล้านบาทต่อแห่ง”

**ควักเงินล้านซื้อลิขสิทธิ์หน้ากาก
ปีนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น การดึงคาแรกเตอร์ “The Mask Collection” หน้ากากนักร้องอาทิ หน้ากากทุเรียน หน้ากากโพนี่ ฯลฯ มาเป็นลิมิเต็ด อิดิชันบนกล่องขนมไหว้พระจันทร์เพื่อวางจำหน่ายที่บิ๊กซีทุกสาขา

“การดึงหน้ากากเข้ามาจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นมองว่า เรื่องของหน้ากากเป็นกระแส และอะไรอยู่ในกระแสก็จะขายได้แม้จะต้องซื้อลิขสิทธิ์ด้วยเงินสูงถึงหลักล้านบาท จึงดึงเข้ามาเล่นในช่วงเพรสทีจและใช้ร่วมกับสินค้าอื่นๆของเอสแอนด์พี เช่น เค้ก คุกกี้ ฯลฯ”

ส่วนธุรกิจที่บริษัทร่วมทุน (JV) กับนักธุรกิจญี่ปุ่นก็จะสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ไมเซ็น,อุเมโนะฮานะ เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของลูกค้าให้เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยให้มากที่สุด ควบคู่กับ **เดินหน้ารุกอาเซียน

อีกหนึ่งเป้าหมายของ “S&P” คือการรุกตลาดเออีซี โดย “เกษสุดา” บอกว่า วันนี้ผู้บริโภคในสปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา ตื่นเต้นกับแบรนด์ เอสแอนด์พี เหมือนช่วง 20 ปีก่อนที่เมืองไทยตื่นเต้นกับการเปิดร้านเอสแอนด์พี ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมเดินหน้าขยายสาขาไปกลุ่มประเทศดังกล่าวอย่างต่อเนื่องโดยมีแผนจะขยายเพิ่มที่กัมพูชาอีก 2 แห่งจากปัจจุบันที่มีอยู่ 2 แห่ง นอกจากนี้ยังมีสาขาในจีนอีก 3 แห่ง

ขณะที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญ ที่บริษัทจะเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายขยายเพิ่มปีละ 2 แห่ง โดยจะโฟกัสแบรนด์ Patara ในกรุงลอนดอนเป็นหลัก เนื่องจากยังมีพื้นที่ให้ขยายตัวอีกมาก กอปรกับร้านอาหารไทยกำลังได้รับความนิยมและเป็นเทรนด์ที่มาแรง จากปัจจุบันในอังกฤษบริษัทมีร้านอาหาร Patara, และร้านอาหาร Suda 8 แห่ง

โดยแผนการสร้างแบรนด์ในต่างประเทศนับจากนี้ จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางการตลาด แบบปากต่อปากและโซเชียลมีเดีย ขณะที่ทางแบรนด์ Patara จะเน้นสื่อสารแบรนด์ผ่านนักท่องเที่ยวทั้งจีน ญี่ปุ่น ที่นิยมเข้าไปรับประทานอาหารภายในร้านที่ประเทศอังกฤษ

“เกษสุดา” ยํ้าว่า แม้สิ้นปีนี้เอสแอนด์พี จะเติบโต 5-8% หรือมียอดขายกว่า 7,000 ล้านบาท แต่ก็เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว กอปรกับในระยะหลังธุรกิจเชนร้านอาหารไทยเริ่มถดถอย ความท้าทายของ S&P นับจากนี้คือการก้าวเดินตามโรดแมปที่วางไว้ 3-5 ปีนับจากนี้คือการพิชิตให้กลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักให้ได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,300 วันที่ 28 - 30 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1