วัตคินสัน ปักธงแบรนด์‘เคส’

27 ก.ย. 2560 | 14:44 น.
ช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ตลาดเครื่องจักรกลหนักในไทยมีการเติบโต เนื่องจากมีโครง การก่อสร้างใหม่ๆรวมไปถึงเมกะโปรเจ็กต์จากภาครัฐที่เริ่มเดินหน้า ส่งผลให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น และมี
แบรนด์ใหม่ๆที่เห็นโอกาสและช่องว่างทางการตลาด เช่นเดียวกับ “วัตคินสัน” ที่ตัดสินใจกระโดดเข้ามารุกในธุรกิจนี้ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ เคส จากประเทศสหรัฐอเมริกา

แม้ว่าจะเป็นน้องใหม่ แต่เคส ภายใต้การทำตลาดของวัตคินสัน ก็เตรียมแผนและวางเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่ 1 ใน 5 ของผู้เล่นในตลาดนี้ภายใน 5 ปี ซึ่งฝันที่วาดหวังไว้ จะขับเคลื่อนอย่างไร วันนี้ “ฐานยานยนต์” มีโอกาสสัมภาษณ์ “กมลวัฒน์ วีรศุภกาญจน์” ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด ที่จะมาบอกเล่าถึงแผนรุกในครั้งนี้

[caption id="attachment_211636" align="aligncenter" width="503"] กมลวัฒน์ วีรศุภกาญจน์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด กมลวัฒน์ วีรศุภกาญจน์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด[/caption]

**ภาพรวมตลาดเครื่องจักรกลหนัก
ตลาดเครื่องจักรกลหนักเพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่ในปีนี้ มีการแข่งขันที่สูงกว่าปีก่อนๆ เพราะมีการก่อสร้างถนนหนทางรวมไปถึงโครงการต่างๆที่เริ่มเดินหน้า ในส่วนของผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดก็มีทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์เล็ก รวมไปถึงแบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาอีก 4-5 แบรนด์ ทั้งจากญี่ปุ่น ,อเมริกา ,ยุโรป และจีน โดยรวมๆ ในตลาดนี้มีผู้เล่นประมาณ 10 แบรนด์ (ไม่นับรวมจีน)ขณะที่ความต้องการหรือยอดขายรวมๆอยู่ที่ 4,000-5,000 คันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าทางการตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

**การตอบรับของแบรนด์
เราถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ในตลาด มีสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่าย อาทิ รถขุดไฮดรอลิก, รถตักล้อยาง, รถเกลี่ยดิน, รถบดสั่นสะเทือน, รถตักหน้าขุดหลัง,รถตักหน้าล้อยาง สนนราคาตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทไปจนถึงหลักกว่า 10 ล้านบาท โดยนำเข้ามาจากฐานการผลิตต่างๆได้แก่บราซิล,อิตาลี,ญี่ปุ่น,อินโดนีเซียส่วนกลุ่มลูกค้ามีตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับบน

**ตลาดนี้แข่งขันด้วยอะไร
แบรนด์ยังมีความสำคัญกับความรู้สึกของลูกค้า ประการต่อมาคือ ราคาที่จำหน่าย และอีกข้อที่สำคัญคือ บริการหลังการขาย หรือศูนย์บริการ สต๊อกอะไหล่ต้องพร้อม ปัจจุบันเรามีศูนย์ที่รองรับ 4 แห่งได้แก่ ระยอง, กรุงเทพฯ, อุดรธานี และเชียงใหม่ และตามแผนที่วางไว้ในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 4 แห่งได้แก่ นครปฐม, ภาคเหนือตอนล่าง, ภาคอีสานตอนล่าง คาดว่าจะเปิดได้ในไตรมาส 2 ส่วนอีก 1 สาขาจะเป็นภาคใต้ในช่วงครึ่งปีหลัง

**กลยุทธ์การตลาดQ4
เราเตรียมโรดโชว์อีก 4 ครั้งในช่วงไตรมาส 4 โดยรูปแบบจะมีทั้งการนำรถไปโชว์อย่างเดียว และพยายามที่จะนำรถไปให้ลูกค้าได้สัมผัสหรือทดลองขับ นอกจากนั้นแล้วเราพยายามหาความแตกต่าง ด้วยการนำสินค้าที่คู่แข่งขันน้อยเข้ามาทำตลาด อาทิ รถบด และรถเกลี่ยดิน ซึ่งแบรนด์เคส มีความได้เปรียบแบรนด์อื่นๆเพราะมีสินค้าครบทุกเซกเมนต์ ทุกไลน์ ดังนั้นจึงสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะนำตัวไหนเข้ามาจำหน่ายและในไตรมาส 1 ปีหน้าเราจะมีการนำรถตักอเนกประสงค์รุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด

**การสนับสนุนจากบริษัทแม่
แบรนด์ เคส คอนสตรัคชั่น เป็นบริษัทในเครือของ CNH Industrial ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1842 ในสหรัฐอเมริกา และมีฐานการผลิตเครื่องจักรกลหนักอยู่ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทยเอง บริษัทแม่มีการสนับสนุนทั้งงบการตลาดผ่านแคมเปญ ข้อเสนอทางการเงิน, กิจกรรมต่างๆและมีการรับประกันตัวสินค้า 1 ปี ไม่จำกัดชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่มีการรับประกัน 1,000 ชั่วโมง

**แผนงานในอนาคต
พฤติกรรมของลูกค้าเริ่มปรับเปลี่ยน จากเดิมที่ใช้รถนาน ก็เริ่มเหลือ 4-5 ปี ซึ่งเราเตรียมแผนที่จะรองรับในอนาคตโดยอาจจะทำบายแบค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการนำรถคันเก่ามาแลกซื้อคันใหม่ ซึ่งแนวคิดนี้น่าจะอีก 2-3 ปีถึงจะเริ่มเดินหน้า เพราะปัจจุบันเราเพิ่งทำตลาดมา 1-2 ปี มีจำนวนรถที่ออกสู่ตลาดประมาณ 90 คัน ขณะที่จำนวนลูกค้ามี 30 ราย ทั้งรายเล็กรายย่อย

**เป้าหมาย
ส่วนเป้าหมายในปีนี้คาดว่าจะทำได้ 100 คัน โดยรถที่ลูกค้าตอบรับสูงคือ รถบดสั่นสะเทือนและรถเกลี่ยดิน ขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2561 คาดว่าจะทำได้ 3% และภายใน 5 ปีจะเพิ่มเป็น 5%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,299 วันที่ 24 - 27 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว