ผ่าแนวคิด ‘แจ็ค หม่า’ ชู‘นวัตกรรม’ สร้างงานนับล้าน

24 ก.ย. 2560 | 08:35 น.
เราควรจะเลิกหวังพึ่งอุตสาหกรรมการผลิตเป็นหัวจักรขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้แล้ว การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้หลายคนหวั่นวิตกเกี่ยวกับอนาคต “ผู้นำ” ควรจะต้องเปิดใจยอมรับศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่อุตสาหกรรมรูปโฉมใหม่อย่างที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน

เมื่อครั้งที่ “แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ยักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซจากประเทศจีน เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นปี 2560 เขาได้รับปากกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า จะช่วยสร้างงานในสหรัฐฯให้ได้ถึง 1 ล้านตำแหน่งงานภายในปี 2021 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ประธานอาลีบาบาตอกยํ้าเรื่องนี้อีกครั้งบนเวที “บลูมเบิร์ก โกลบอล บิสิเนส ฟอรัม” ซึ่งจัดขึ้นในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา โดยระบุว่า เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาท ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตไม่ได้เป็นกลไกหลักในการสร้างงานอีกต่อไป แต่สิ่งที่จะเข้ามาสร้างงานใหม่ๆ ทดแทนก็คือ ธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางขยายตลาด นี่คือสิ่งที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจในศตวรรษนี้

“200 ปีที่แล้วเมื่อเครื่องจักรไอนํ้าถูกนำมาใช้ในโลกอุตสาหกรรม ผู้คนพากันคิดว่าเครื่องจักรกลนี้จะทำให้คนจำนวนมากตกงาน ความกังวลเหล่านี้เป็นเรื่องปกติมาก” แต่เรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง เทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถสร้างงานจำนวนมากเช่นกัน แจ็ค หม่า เองมีแนวคิดว่า การดึงธุรกิจขนาดเล็กเข้ามาสู่แพลตฟอร์มซื้อ-ขายสินค้ากันทางออนไลน์นั้นจะช่วยสร้างงานให้กับผู้คนนับล้าน เช่นที่ประเทศจีน ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของเขาทำให้เกิดการสร้างงานแล้วจำนวนกว่า 30 ล้านตำแหน่ง

TP10-3299-1A “เราไม่ควรกระพือความหวาดกลัวที่ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานคน หรือแม้กระทั่งเข้ามาควบคุมชีวิตเราหรือมีสติปัญญาฉลาดกว่าเรา” เขายอมรับว่าไม่ชอบนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หรือผู้นำในโลกธุรกิจ ที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี “มีคนจำนวนมากที่กลัวว่าเครื่องจักรกลจะเข้ามาควบคุมชีวิตมนุษย์ แต่ผมคิดว่าคนเราจะต้องมีความมั่นใจ”

ในงานเลี้ยงฉลองก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป ครบรอบ 18 ปีที่เมืองหังโจวเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา แจ็ค หม่า ยกตัวอย่างองค์กรของเขาเองซึ่งปัจจุบันมีพนักงานรวม 40,000 คนให้เห็นเป็นรูปธรรม “ทุกวันนี้อาลีบาบาไม่ใช่บริษัทธรรมดาๆ แต่เราเป็นองค์กรเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าพูดถึงเรื่องขนาด ขนาดทางเศรษฐกิจของอาลีบาบาถือว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 21 ของโลก และใน 19 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายจะทำให้อาลีบาบามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก เราหวังว่าจะสร้างงานใหม่ทั่วโลก 100 ล้านตำแหน่งงาน ให้บริการตอบสนองผู้บริโภค 2,000 ล้านคน สร้างพื้นที่ทำกำไรให้ธุรกิจ SMEs จำนวนนับ สิบล้านราย”

เป้าหมายดังกล่าวไม่สูงเกินเอื้อมเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการของอาลีบาบา ซึ่งจากรายงานประจำไตรมาสล่าสุดพบว่า ณ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 56% เป็น 7,403 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีสมาชิกที่ใช้บริการของอาลีบาบาในประเทศจีนกว่า 466 ล้านคน ขณะที่ฐานผู้ใช้บริการในต่างประเทศก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน รายได้จากตลาดอี-คอมเมิร์ซต่างประเทศของอาลีบาบาเพิ่มขึ้น 136% เมื่อ เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 389 ล้านดอล ลาร์สหรัฐฯ หม่าเองก้าวขึ้นอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชียด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 37,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.23 ล้านล้านบาท และเป็นบุคคลที่รํ่ารวยอันดับที่ 18 ของโลก (จากการจัดอันดับของนิตยสาร ฟอร์บส์)

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,299 วันที่ 24 - 27 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1