ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระหรือ “เกรย์มาร์เก็ต” นับวันจะล้มหาย ตายไปจากตลาดเมืองไทยหรือที่เหลือรอดก็ดำเนินธุรกิจยากขึ้น จากช่วงก่อนปี 2555 ยอดขายทั้งระบบประมาณ 1.0-1.5 หมื่นคันต่อปี ทว่า 1-2 ปีหลังตัวเลขลดเหลือประมาณ 3-4 พันคัน (จากสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถใหม่) ขณะที่ขั้นตอนการนำเข้า การตรวจสอบและเสียภาษีเข้มงวดขึ้น แต่อีกทางก็โดนเจ้าของแบรนด์หรือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และผู้นำเข้าและตัวแทนจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ไล่บี้อย่างหนักทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในยุครุ่งเรือง นอกจากรถยนต์ญี่ปุ่นที่ขายดีแล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นแบรนด์ยอดนิยม ที่พอตลาดโลกเปิดตัวโมเดลใหม่ มักถูกเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาเปิดตัวตัดหน้าบริษัทแม่ทุกครั้ง โดยเฉพาะ “อี-คลาส” และ “ซีแอลเอส” พร้อมออพชันหลากหลายจัดเต็ม แถมทำราคาได้น่าสนใจแม้บริษัทแม่จะเปิดตัวตามมาทีหลัง ก็ยังสามารถแข่งขันได้อย่างสูสี
จนกระทั่งในช่วง 5-6 ปีหลัง บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มปรับโครงสร้างองค์กร และเปลี่ยนกลยุทธ์ ซึ่งการจัดการกับเกรย์มาร์เก็ตที่คอยตีกินยอดขายถือเป็นประเด็นใหญ่ในโต๊ะประชุม ดังนั้นจึงเห็นมาตรการใหม่ๆ และความกระตือรือร้นของเจ้าพ่อรถหรูเมืองไทย แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
เริ่มจากแผนปิดช่องทางบริการหลังการขาย โดยปี 2554 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ประกาศเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าเพื่อการขอรับประกันคุณภาพสำหรับรถที่ซื้อจากเกรย์มาร์เก็ต และถัดจากนั้นไม่นานก็ประกาศงดการให้บริการรถยนต์ที่ไม่ได้ซื้อจากผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ
สอดคล้องกับแผนโปรดักต์ใหม่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จัดการนำเข้ารถยนต์มาขายอย่างรวดเร็วหลังการเปิดตัวในระดับโลกไม่นาน พร้อมทางเลือกหลากหลายและกดราคาให้ตํ่าลง รวมถึงเพิ่มรุ่นประกอบในประเทศ จนสุดท้าย “เกรย์มาร์เก็ต” ไม่สามารถนำเข้ารถยนต์ตราดาวสามแฉกมาขายได้ ซึ่งรถที่ขายเลี้ยงธุรกิจได้ทุกวันนี้เป็นรถนำเข้าจากญี่ปุ่น และแบรนด์ยุโรปอย่าง“ปอร์เช่”
[caption id="attachment_210096" align="aligncenter" width="503"]
ปอร์เช่ พานาเมรา จาก เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ[/caption]
อย่างไรก็ตาม “ปอร์เช่” ซึ่งเป็นรถขายดียี่ห้อหนึ่งของเกรย์มาร์เก็ต กำลังจะเดินตามรอย“เมอร์เซเดส-เบนซ์” หลังจากกรมศุลกากรออกคำสั่งให้ใช้หลักการประเมินราคาใหม่ โดยกรมศุลกากรมีคำสั่งลับที่สุด 0521(ส)/ร 2640 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2560 เรื่องเปลี่ยนแปลงการประเมินราคารถยนต์นำเข้า 4 ยี่ห้อ (ต่างจากคำสั่งเดิม 317/2557)
ในทางปฏิบัติ ผู้นำเข้าจะต้องสำแดงราคาเพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี หรือเรียกว่า “ราคาศุลกากร”แต่ถ้ากรมศุลกากรมีข้อสงสัยก็ให้ใช้หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพื่อคำนวณหาราคาประเมินที่เหมาะสม โดยคำสั่งเดิม 317/2547 กรมศุลกากรจะหักค่าการตลาดจากราคาขายในเว็บไซต์(เมืองนอก) 43.46% และนำราคานี้ไปใช้เป็นฐานคำนวณภาษี
แต่คำสั่งใหม่ 0521(ส)/ร2640 ที่เน้นไปที่รถยนต์ 4 ยี่ห้อโดย “เฟอร์รารี่” ที่นำเข้าจากอังกฤษให้หักค่าการตลาด 32.01% “มาเซราติ” ที่นำเข้าจากอิตาลี ให้หัก 53.52% และ “ลัมโบร์กินี” นำเข้าจากอิตาลี ให้หัก 27.67% ขณะที่ปอร์เช่ นำเข้าจากอังกฤษ ให้หัก 5.94%
จะเห็นว่าเดิมมีคำสั่งแนะนำให้หักค่าการตลาดในระดับ 43.46% เท่าๆกัน แต่เมื่อคำสั่งใหม่ออกมา“มาเซราติ” ให้หักเพิ่ม 53.52% แต่ปอร์เช่ ให้หักแค่ 5.94% นั่นหมายความว่า ราคาประเมินของรถยนต์ปอร์เช่ที่จะนำมาคูณภาษีนำเข้าย่อมสูงขึ้น
นายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร ยืนยันว่า คำสั่ง 0521(ส)/ร2640 เป็นแค่เกณฑ์ในการตรวจสอบราคารถยนต์นำเข้า ซึ่งใครสำแดงอย่างถูกต้องอยู่ก่อนแล้วก็ไม่เดือดร้อนอะไร
[caption id="attachment_162155" align="aligncenter" width="503"]
นายสมศักดิ์ ศรีรัตนประภาส[/caption]
ขณะที่นายสมศักดิ์ ศรีรัตนประภาส ในฐานะนายกสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองระงับคำสั่งการปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณ “ราคาประเมิน” ของรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูปใหม่จากยุโรป เพราะเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการและไม่มีระยะเวลาให้ปรับตัว
“กรมศุลกากรไม่มีการแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบล่วงหน้า ทำให้รถยนต์ที่นำเข้ามาในช่วงนี้ ต้องเสียภาษีสูงขึ้นกว่าเท่าตัว ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการต้องประสบปัญหาขาดทุน เพราะไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าได้ เนื่องจากราคาดังกล่าวสูงกว่าที่ได้ตกลงกับลูกค้าไว้ก่อนแล้ว” นายสมศักดิ์กล่าว
ดังนั้นถ้าใช้หลักเกณฑ์ประเมินใหม่สำหรับปอร์เช่ สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ ยกตัวอย่างว่า รุ่นพานาเมรา อี-ไฮบริด ราคาประเมินเดิม 2.44 ล้านบาท ชำระภาษี 3.17 ล้านบาทแต่เมื่อใช้หลักเกณฑ์ใหม่ ราคาประเมินจะอยู่ที่ 4.85 ล้านบาท ชำระภาษีทั้งสิ้น 5.64 ล้านบาท
ส่วนปอร์เช่ 718 บ็อกซ เตอร์ ราคาประเมินเดิม 1.47 ล้านบาท ชำระภาษี 3.13 ล้านบาท แต่เมื่อใช้หลักเกณฑ์ใหม่ ราคาประเมินจะอยู่ที่ 3.06 ล้านบาท ชำระภาษีทั้งสิ้น 6.53 ล้านบาท
ทั้งนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่เกิดขึ้นก่อน ที่ภาษีสรรพสามิตที่คิดตามราคาขายปลีกจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่16 กันยายน 2560 ขณะเดียวกันรถที่ได้รับผลของการเปลี่ยน แปลงนี้มากที่สุดคือปอร์เช่ ซึ่งเป็นรถยุโรปที่เกรย์มาร์เก็ตยังพอจะมีช่องทางขายได้ แต่จากนี้ไปการนำเข้าคงไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม
ที่สำคัญรุ่นที่เป็นตัวขายของปอร์เช่คือกลุ่มปลั๊ก-อินไฮบริด ซึ่งพานาเมรา โฉมใหม่กำลังทยอยส่งมอบ ตลอดจนเอสยูวีอย่าง“คาเยนน์ โฉมใหม่” จะเริ่มลุยตลาดในปีหน้า อาจจะเป็นการดักไม่ให้รถจากเกรย์มาร์เก็ตได้แจ้งเกิดหรือชิงยอดขายไปก่อนผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
เกรย์มาร์เก็ตคงต้องปรับตัวอย่างหนักในการสรรหารถเข้ามาทำตลาด หรือพลิกผันไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องพร้อมใช้ประโยชน์จากศักยภาพ และฐานลูกค้าเดิมที่มีเหลืออยู่ แต่เชื่อว่าจากสถานการณ์ที่โดนบีบรัด ผู้ประกอบการบางรายอาจจะไม่ตาย แต่ก็คงไม่โตมากไปกว่านี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,298 วันที่ 21 - 23 กันยายน พ.ศ. 2560