เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2560 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในวันถัดไป นับเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลูกฉบับแรกในจำนวน 10 ฉบับ ที่ผ่านขั้นตอนกระบวนการนิติบัญญัติจนออกมาเป็นกฎหมาย
ผลของกฎหมายนี้ทำให้กรรมการ กกต. 5 คน พ้นตำแหน่ง หรือ “เซตซีโร่” ไปทั้งคณะ แต่ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่า กกต.จากการสรรหาใหม่ 7 คน จะมารับหน้าที่
ถัดมาวันที่ 14 กันยายน 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบร่างพ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) รอขั้นตอนการประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยร่างกฎหมายนี้ ยืนยันให้ กสม. 7 คน ที่ดำรงตำแหน่งอยู่เดิม ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากสม.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่
ต่างจากผู้ตรวจการแผ่นดินที่สนช.โหวตในวาระ 3 เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม โดยมีบทเฉพาะกาลให้ผู้ตรวจการแผ่นดินที่เหลือ 2 คนจากที่ให้มี 3 คน ยังคงอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญใหม่ลดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินลง
แม้จะมีสนช.บางส่วนเห็นแย้งเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งศาลชี้แล้วว่า ไม่ขัดรัฐธรมนูญ ทำให้กรรมการองค์กรอิสระที่เหลือเริ่มมีความหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองให้อยู่ต่อจนครบวาระเหมือนผู้ตรวจการบ้าง แต่กรณีของ กสม.ก็ไม่รอด
อันดับถัดไปที่มีลุ้นจะได้นั่งเก้าอี้ต่อจนครบวาระหรือไม่ คือ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ระบุว่ากรธ.มีกำหนดจะจัดทำร่างพ.ร.บ.ป.ป.ช.ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้
ส่วนการดำรงตำแหน่งของกรรมการป.ป.ช.นั้น ล่าสุดมีท่าทีที่ชัดเจนออกมาจาก กรธ. โดย นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ.ระบุว่า จะไม่ “เซตซีโร่” และให้คุณสมบัติเป็นไปตามรัฐธรรมนูญใหม่
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คุณสมบัติของป.ป.ช.ได้กำหนดไว้ในมาตรา 232 ว่า ผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ต้องมีคุณสมบัติ อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
1.รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ตํ่ากว่าอธิบดีผู้พิพากษา อธิบดีศาลปกครองชั้นต้น หรืออธิบดีอัยการมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี 2.รับราชการ หรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ตํ่ากว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
3.เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น ของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี 4.ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์
5.เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพ โดยประกอบวิชาชีพอย่างสมํ่าเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี 6.เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ด้านการบริหาร การเงินการคลังการบัญชีหรือการบริหารกิจการวิสาหกิจ ระดับไม่ตํ่ากว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจำกัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี
ส่วนคุณสมบัติต้องห้ามนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระใด, เป็นหรือเคยเป็น ส.ส., ส.ว. ข้าราชการการเมือง ระยะ 10 ปี ก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา
จากข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่งผลให้ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน อาจได้รับผลกระทบจากการตีความเรื่องคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้าม ประกอบด้วย
1.พล.ต.อ.วัชรพล ประสารขราชกิจ ประธานป.ป.ช.เคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เมื่อปี 2557 ติดเงื่อนไขพ้นจากข้าราชการการเมืองไม่ถึง 10 ปี
2.นายปรีชา เลิศกมลมาศ เคยเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. ในปี 2552 ถือเป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ แต่นับเวลาดำรงตำแหน่งจนถึงวันเข้ารับการสรรหาไม่ถึง 5 ปี
3.พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง เคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร 3 เมื่อปี 2548 ก่อนย้ายเป็นจเรตำรวจ เกษียณอายุราชการปี 2555 เทียบเท่าตำแหน่งอธิบดี เมื่อนับเวลาดำรงตำแหน่งจนถึงวันเข้ารับการสรรหาไม่ครบ 5 ปี
4.นายณรงค์ รัฐอมฤต เคยเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. เมื่อปี 2555 เข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อปี 2556 นับเวลา ดำรงตำแหน่งไม่ถึง 5 ปีเช่นกัน
5.นายวิทยา อาคมพิทักษ์ เคยเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อปี 2557 เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามเนื่องจากเคยเป็นกรรมการองค์กรอิสระ
6.พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ เป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม ถึงปี 2555 ต้องรอตีความว่าเทียบเท่าอธิบดีหรือไม่ และนับเวลาการดำรงตำแหน่งถึงวันรับการสรรหาครบ 5 ปี หรือไม่
7.นางสาวสุภา ปิยะจิตติ เคยเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ระดับ 10 เทียบเท่าอธิบดี ตั้งแต่ปี 2549-2553 เข้ารับการสรรหาเป็นป.ป.ช.ปี 2557 แต่รัฐธรรมนูญใหม่ระบุว่าต้องรับและเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ตํ่ากว่าอธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. อีก 2 คน ที่ไม่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ประกอบด้วย นางสุวณา สุวรรณจูฑะ เป็นอธิบดีกรมคุ้ม ครองสิทธิและเสรีภาพ ตั้งแต่ปี 2549 และได้รับการเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช เมื่อปี 2558 จึงดำรงตำแหน่งไม่ตํ่ากว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการไม่น้อยกว่า 5 ปี
ส่วนอีกคนคือ นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร เคยเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ตั้งแต่ปี 2551 ได้รับเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช. เมื่อปี 2558 ถือว่าอยู่ดำรงตำแหน่งไม่ตํ่ากว่าอธิบดีมาไม่น้อยกว่า 5 ปี
กรรมการป.ป.ช.ทั้ง 7 คน ใครจะอยู่ ใครจะไป เมื่อร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว คงขึ้นอยู่กับ “กรรมการสรรหา” ที่จะเป็นผู้ชี้ขาดต่อไป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,298 วันที่ 21 - 23 กันยายน พ.ศ. 2560