ทรรศนะทางตรง
โดย : โจรสลัดอันดามัน
“อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม” ผู้ยอมหักไม่ยอมงอ
เหลืออีกไม่กี่วันถึงวันที่ 30 ก.ย.อันเป็นวันสุดท้ายของการทำงานในหน้าที่ราชการของใครหลายๆคนที่ต้องครบกำหนดเกษียณอายุ บางคนโลดแล่น โลดโผนทำหน้าที่ข้าราชการร่วม 30 ปี บางคน 35 ปี
ข้าราชการเป็นกลุ่มผลประโยชน์ขนาดใหญ่หรือว่ากันว่าเป็นกลุ่มก้อนแห่งอำนาจที่แฝงตัวอยู่ในทุกองคาพยพแห่งวงจรอำนาจอย่างไม่รู้คลาย ข้าราชการเป็นกลไกสำคัญที่คอยชักดึงอำนาจขับเคลื่อนประเทศนี้มาอย่างยาวนาน และคงไว้ซึ่งบทบาทสูงมาก จะปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าข้าราชการไม่ขยับทำให้ทุกอย่างสะดุดล้มไม่เป็นท่าก็หลายหน
มีความพยายามในหลายๆครั้งของฝ่ายการเมือง พรรคการเมืองที่เข้มแข็งในการบั่นทอนอำนาจของข้าราชการประจำลงมา บางช่วงตอนการเมืองแข็งแกร่งก็ทุบตีให้ข้าราชการอ่อนแอ บางครั้งคราการเมืองอ่อนเปลี้ยข้าราชการก็เข้มแข็งขึ้นมาและมีแรงฮึดสู้ แน่นอนเป็นการชักดึงเส้นด้ายแห่งอำนาจและเป็นมาอย่างนี้ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475
อันที่จริงทั้ง 2 ฝ่าย(ความจริงมีฝ่ายอื่นอีกในวงจรอำนาจ)เข้าใจผิดและแกล้งไม่เข้าใจในเนื้อหาหน้าที่แห่งตนแทบทั้งสิ้น หากคิดว่าทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งอำนาจ พร้อมกับพยายามทุกทางในการหวงแหนอำนาจนั้นไว้
เอาเฉพาะคนที่เป็นข้าราชการ หน้าที่บทบาทที่แท้จริงไซร้ คือ ผู้รับใช้ประชาชน หาได้เป็นหรือทำตัวเสมือนนายประชาชนเหมือนในปัจจุบันนี้ได้ไม่ ข้าราชการจึงต้องไม่กดขี่ ขี่คอประชาชน แม้ได้รับอาณัติคำสั่งจากนักการเมืองหรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าก็ตาม
ข้าราชการต้องพึงรู้ กรอบแนวทางปฏิบัติในหน้าที่แห่งตน ไม่ทำตัวสนองฝ่ายนโยบายจนเกินงามเพื่อหวังแลกมาซึ่งลาภยศ ตำแหน่ง ถ้าตรองกันดีๆก็แค่เรื่องชั่วคราวและหัวโขนเท่านั้น
ข้าราชการต้องไม่ให้ใครนำยศ ตำแหน่งแห่งตนไปแสวงหาประโยชน์หรือลงมือในการแสวงหาประโยชน์มิชอบเสียเอง ข้าราชการต้องกล่ายืนหยัดคัดง้างหากเห็นว่าข้อสั่งการนั้นมิชอบ เพราะสุดท้ายปลายทางหากกระทำลงไปแล้ว ก็ต้องย้อนรับกลับมารับผลกรรมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นและกำลังเกิดขึ้นกับหลายคนอยู่ในขณะนี้
ผมได้มีโอกาสสนทนากับ อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน ที่กำลังจะเกษียณอายุ 30 ก.ย.2560 นี้ อารีพงศ์นั่งตำแหน่งสูงสุดของระดับข้าราชการถึง 4 หน่วยงาน เป็นปลัดกระทรวงการคลังเมื่ออายุ 53 ปี ถูกโยกไปเป็นเลขา กพร.ก่อนไปนั่งปลัดกระทรวงพลังงานรอบแรกและถูกโยกกลับไปเป็นเลขา กพร. ก่อนย้ายไปเป็นปลัดกระทรวงท่องเที่ยว 78 วันและถูกโยกกลับมาเป็นปลัดกระทรวงพลังงานรอบ2 ก่อนเกษียณ 30ก.ย.นี้นับว่าโชกโชนและระหกระเหินพอสมควร
ก่อนถูกเด้งจากกระทรวงการคลังอารีพงศ์ เล่าว่า เขาถูกโจมตีอย่างรุนแรงเกี่ยวกันกับโครงการจำนำข้าว กล่าวหาว่าผมจะไปย้ายคุณสุภา ปิยะจิตติ อธิบดีบัญชีกลางขณะนั้น(ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว) ข่าวตอนนั้นผมถูกว่าแรง ให้ผมไปใส่กระโปรงซะ ซึ่งความจริงผมก็คุยคุณสุภาโดยตลอด ไม่ได้เป็นไปตามนั้น
บางเรื่องเขาไม่ได้พูดออกมาในช่วงนั้น แต่เขารู้ว่าเขาทำอะไรอยู่
“ตอนนั้นผมต้องรักษาวินัยการเงิน การคลัง ตอนนั้นครม.อนุมัติมาแล้ว 5 แสนล้านเป็นเงินทุนหมุนเวียนไปเรื่อยๆตอนหลังจะเพิ่มเป็น 6แสนล้าน 7แสนล้าน ผมไม่ยอม มันค้างสต็อกเต็มไปหมด ถ้าขยายก็ยิ่งตายผมก็ยืนแบบนั้นมาตลอด”
เขาก็ย้ายผม แต่เขาบอกว่าไม่ได้ย้ายผมด้วยเหตุขวางในเรื่องนั้น ซึ่งยอมรับว่าช่วงนั้นขมขื่น(อารีพงศ์นิ่งไปชั่วขณะเมื่อพูดมาถึงตรงนี้)
อารีพงศ์เล่าว่า เมื่อมองย้อนกลับไปตอนนั้น ทุกวันนี้แฮปปี้มาก การย้ายผมออกไปมันชัดเจนกับสังคมในระดับหนึ่งมาก พอหลังจากนั้นชีวิตแฮปปี้มาก มันทำให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น ไปกพร.ก็ได้เรียนรู้กพร.กลับมาพลังงานก็ได้เรียนรู้พลังงาน ไปกระทรวงท่องเที่ยวได้เรียนรู้ท่องเที่ยวคล้ายๆกับการเปิดชีวิตผม นี่คือ ชะตาชีวิตจริงๆ
อารีพงศ์บอกว่า "ปลัดจะเป็นคนสุดท้ายของเรื่องเชิงนโยบาย เมื่อถูกถามถึงบทเรียนจำนำข้าวและบทเรียนข้าราชการ เป็นคนสุดท้ายที่จะหยุดได้ ก็ต้องฝากว่าใครจะดูแลข้าราชการพวกนี้ เขามีครอบครัว เขามีลูก เมื่อเขาถูกเด้งไป ก.พ.หรือราชการควรมีระบบ ซึ่งผมคิดว่าเขาคงพยายามที่จะทำให้มีระบบธรรมาภิบาลมากขึ้น"
บทเรียนก็คือว่า..เผอิญผมไม่ได้รวย ผมพอมีกิน ผมไม่มีลูก มันก็สามารถตัดสินใจอะไรได้เยอะมาก ที่จะยืนอยุ่กับความถูกต้อง เลยไม่มีอะไรที่ต้องวอกแวก ภรรยาก็มีฐานะ
ผมพูดในระดับปลัดที่มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ ปลัดคือคนสุดท้ายที่จะยืนทั้งหมด
หลังจากนี้อารีพงศ์บอกว่าคงมีเวลามากขึ้นและพาภรรยาไปเที่ยวได้เสียที เพราะที่ผ่านแทบไม่มีเวลาหรือไปได้บ้างแต่เวลาน้อย 2-3 วัน ที่คิดไว้อย่างเส้นทางสายไหมก็อยากจะไป หรืออย่างยุโรปตะวันออกก็อยากไปเที่ยว ไปเที่ยวนานๆบ้าง แต่คงไม่นานมากเป็นเดือนๆเพราะจะต้องดูแลแม่ซึ่งอายุมากแล้ว
ข้อคิดของอารีพงศ์และเส้นทางเดินทางราชการที่โชกโชน แม้ที่ผ่านมาจะถูกครหานินทาบ้าง เกี่ยวพันกับเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างทั้งจริงและไม่จริง แต่ถ้าตั้งหลักเดินให้ตรง ไม่หวั่นไหววอกแวก ก็ย่อมมีเกราะกำบังและพลังหนุนหลัง และจะเหนี่ยวนำให้ข้าราชการรุ่นหลังๆได้ยึดหลัก ยึดถือ
เฉพาะเรื่องข้าวเรื่องเดียว ที่ยอมหักไม่ยอมงอ ก็ควรค่าแก่การคารวะ "ปลัดอารีพงศ์"
เรื่องราวอารีพงศ์เป็นแค่บางเศษเสี้ยวของข้าราชการและระบบราชการ ที่ต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การปฏิรูป
เราจะปฏิรูปอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่ปฏิรูปราชการเสียก่อน ไม่ใช่แค่ปฏิรูประบบเท่านั้นแต่ต้องปฏิรูปตั้งแต่แนวคิด จิตสำนึก เป็นจิตสำนึกรับใช้ประชาชนที่ผูกติดยึดโยงกับคุณธรรมและจริยธรรม ให้กลไกราชการทุกส่วน ขับเคลื่อนไปในแนวทางสานฝันปฏิรูปประเทศ
คอลัมน์ : ทรรศนะทางตรง /หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3297 ระหว่างวันที่ 17-20 ก.ย.2560