รับมือ! สังคมสูงวัยไหว ถ้า...?
ขณะเดียวกันรัฐบาลจะทำงานโดยลำพังคงไม่ได้ ร้องขอให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมด้วย จึงเป็นที่มาของการสัมมนาวิชาการเรื่อง “Wellness Aging สูงวัย มีสุข” จัดโดยสมาคมนักศึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.4) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อระดมสมองหาแนวทางออกไปต่างๆ นานา
อาทิ น.พ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาฯสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า สำนักงานฯได้ปฏิรูประบบบำนาญประกันสังคมเพื่อให้ผู้ประกันตนมีเงินเพียงพอใช้ในวัยเกษียณ เช่น การขยายอายุเกษียณจาก 55 ปี เป็น 60 ปี เพิ่มเวลาในการใส่เงินสมทบนานขึ้นจาก 22 ปีเป็น 28 ปี พร้อมปรับปรุงใช้ค่าจ้างเฉลี่ยตามดัชนีการทำงานตลอดชีพ คาดจะมีผลบังคับใช้ในปี 2561
ปัจจุบัน เงินกองทุนประกันสังคมอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นเงินต้น 1.2 ล้านล้านบาท และผลตอบแทน 5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 5%
ส่วน นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า วตท. รุ่นที่ 24 ได้เสนอผลิตภัณฑ์ “กองทุนพ่วงประกัน” ตอบโจทย์วัยเกษียณที่จะเก็บเบี้ยเพื่อนำไปลงทุนก่อนจะเริ่มจ่ายผลตอบแทนรายเดือน ลักษณะคล้ายบำนาญตามระยะเวลาที่ผู้ลงทุนต้องการ และมีการประกันสุขภาพให้ด้วยหลังอายุ 60 ปี ระหว่างที่ยังไม่ได้ใช้เงินก้อน บลจ.ก็ยังนำไปลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติมได้
ไอเดียนี้ดี แต่ไม่มั่นใจว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะติดข้อกฎหมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องภาษีจูงใจ และขัดหลักเกณฑ์ เรื่องการประกันที่เริ่มให้ความคุ้มครองตั้งแต่วันแรกที่จ่ายเบี้ย จะไปเลือกให้ดูแลหลัง 60 ปี ไม่ได้
แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อุปสรรคหนึ่งที่ทำให้คนไทยออมน้อย หรือมีเงินก็ไม่กล้าฝากเงินไว้กับสถาบันการออมต่างๆ เช่น สหกรณ์ เพราะกฎหมายที่มีอยู่ไม่ได้ให้ความคุ้มครองว่าเงินต้นจะไม่สูญหาย และมักปรากฏข่าวเรื่องการบริหารงานที่มีการทุจริต แต่สมาชิกไม่ได้รับความคุ้มครองเลย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ภาครัฐหันมาแก้ปัญหาจริงจังเสียที ไม่ใช่ปล่อยให้เรื้อรังและในที่สุดให้ผู้ออมเงินก็จะต้องเผชิญกับความลำบากยามแก่เฒ่า
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,297 วันที่ 17 - 20 กันยายน พ.ศ. 2560
