เชียร์เพิ่มพอร์ตลงทุน ศก.ฟื้น เมกะโปรเจ็กต์เกิด ปี 61 พี/อีตลาด14.5 เท่า

20 ก.ย. 2560 | 04:25 น.
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัสฯ กล่าวว่า บริษัทเพิ่งปรับเพิ่มนํ้าหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก 50% เป็น 60% ของพอร์ต และให้เป้าหมายดัชนีหุ้น 1,766 จุด แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไม่มากนัก คาดหวังอัตราผลตอบแทนมากกว่า 10%

“เราเคยปรับเพิ่มนํ้าหนักการลงทุนจาก 40% เป็น 50% เมื่อเดือนสิงหาคม และเพิ่งมาปรับรอบใหม่วันที่ 15 กันยายน เพราะมองว่าตลาดหุ้นจะไปนักลงทุนควรจะโยกเงินที่ลงทุนในตราสารหนี้ หรือทองคำเข้ามาในตลาดหุ้น” นางภรณีกล่าว

ตลาดหุ้นไทย Laggards มากเมื่อเทียบกับหุ้นเพื่อน ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง เพราะเครื่องจักรทำงานครบสูตร ทั้งการส่งออก การลงทุนรัฐ และเอกชน หนุนการบริโภคภาคครัวเรือนที่ฟื้นตัวตาม

MP17-3297-A สำหรับหุ้นที่แนะนำได้แก่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ที่ปรับจากขายเป็นซื้อ เพราะเดิมไม่นับรวมกำไรจากดาวเทียม 2 ดวงที่ยังไม่ได้ยิงขึ้นสู่วงโคจร แต่บริษัทต้องยิงแม้ค่าใช้จ่ายสูงก็ตาม รวมถึงหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ฯ (INTUCH) ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยกให้หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ราคาหุ้นยังไม่ขึ้นมา

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นฯ (UNIQ) โดดเด่น และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอ เรชั่นฯ (WHA) กลุ่มค้าปลีก บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ฯ (HMPRO) และบริษัท คอมเซเว่นฯ (COM7) ได้รับเพิ่มดัชนีเป้าหมายระยะ 12 เดือนข้างหน้าเป็น 1,766 จุด อิง EPS ปี 2561 ที่ 110.4 บาท และ P/E 16 เท่า

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาตฯ กล่าวว่า ตลาดหุ้นและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน เริ่มได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งในปี 2561 ตลาดหุ้นจะซื้อขายที่ราคากำไรต่อหุ้น (พี/อี) ถูกลงเหลือ 14.5 เท่า จากเดิมค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี พี/อี ตลาดอยู่ที่ 16 เท่า และกำไรต่อหุ้นของตลาดรวม (EPS) ที่เริ่มบวกต่อเนื่องจากเดิม 100 บาท/หุ้น ขึ้นไปเป็น 110 บาท/หุ้น

นายพิชัย กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดเปลี่ยนถ่ายจากเดิมสภาพคล่อง ไปสู่การขับเคลื่อนเรื่องคาดการณ์ของผลประกอบการกำไรของบริษัท มีทิศทางที่ดีขึ้นตามเศรษฐกิจ ที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและส่งออก นอกจากนี้เชื่อว่าการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของรัฐในช่วง 2-3 ข้างหน้า จะเห็นการประมูลปีละ 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นวัฏจักรการลงทุนรอบใหญ่กระจายกว้างขึ้น เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

“บล.ธนชาตฯ แนะนำถือหุ้นใหญ่ เป้าหมายตลาดปลายปี 2561 ที่ 1,830 จุด แนะถือหุ้นต่อไป หรือเพิ่มพอร์ตลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ เช่นกลุ่มพลังงาน แนะนำ ปตท. ( PTT ) กลุ่มธนาคาร แนะนำ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ส่วนค้าปลีกแนะนำ CPALL” นายพิชัย กล่าว

บทวิจัย บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย)ฯ วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนปัจจัยการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศที่เอื้ออำนวย ล่าสุดเห็นเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียตอนบนอย่างเกาหลีใต้และไต้หวัน รวมกว่า 3.0 หมื่นล้านบาท คาดเป็นการขายทำกำไร (YTD สูงกว่า 17.5%) และหันมาลงทุนในกลุ่ม Laggard อย่างประเทศไทย (2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝรั่งซื้อหุ้นไทยประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท) ประกอบกับใน 1-2 สัปดาห์นี้ เป็นช่วงที่บริษัทฯกว่า 150 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลของงวดผลประกอบการครึ่งปีแรกสูงกว่า 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งมีโอกาสที่นักลงทุนจะนำเงินปันผลที่ได้มา กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง อาจส่งผลให้ SET สามารถขึ้นไปเล่นระดับเหนือระดับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่สูงกว่า 16x หรือกรอบประมาณ 1,659-1,712 จุด

บล.กสิกรไทย แนะนำหุ้นที่น่าจะมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ โดยเฉพาะหุ้นที่ยังไม่ปรับตัวขึ้น ได้แก่ หุ้นที่จะได้รับประโยชน์โดยตรง เช่น STEC, CK, TICON, JWD, AOT และ BANK รวมถึงหุ้นที่น่าจะได้รับประโยชน์ทางอ้อม เช่น SPALI, HMPRO, CPALL, CPN, CENTEL, MINT, BDMS, BH

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,297 วันที่ 17 - 20 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1-5