ตร.ยันคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน ทัวร์ศูนย์เหรียญยังไม่จบ
จากกรณีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง บริษัทฝูอัน ทราเวล จำกัด บริษัทซินหยวน ทราเวล จำกัด และครอบครัวโรจน์รุ่งรังสี เจ้าของบริษัทโอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด และธุรกิจต่างๆ ในเครือ คดีอั้งยี่-ฟอกเงินทัวร์ศูนย์เหรียญ เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดเจน
ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย ที่นำสืบหักล้างกันแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยประกอบธุรกิจให้เช่ารถบัสนำเที่ยวและจำหน่ายสินค้าแก่นักท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบธุรกิจท่องเที่ยว มิใช่ประกอบธุรกิจนำเที่ยวไม่ต้องขอจดทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว ส่วนคำว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นการเรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และมีการกำหนดโปรแกรมท่องเที่ยวเอาไว้ก่อนแล้ว ซึ่งในไทยมีการประกอบธุรกิจลักษณะเช่นนี้กว่า 300 บริษัท มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด
[caption id="attachment_207530" align="aligncenter" width="354"]
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.)[/caption]
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้ทางศาลชั้นต้นจะมีการยกฟ้องในคดีดังกล่าว แต่กระบวนการทางคดีก็ยังไม่จบ เพราะมีถึง 3 ศาล ซึ่งต่อไปเราก็จะมีการดำเนินอุทธรณ์ต่อ ซึ่งขณะนี้กำลังรอรายละเอียดเอกสารในการพิจารณาของศาลชั้นต้น จากนั้นทางอัยการก็จะส่งฟ้องคดีต่อในชั้นอุทธรณ์ แต่รายละเอียดยังพูดไม่ได้มากนัก
ส่วนกรณีการจะถอนอายัดบัญชีของบริษัทในเครือโอเอ เป็นไปตามการพิจารณาของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตราบใดที่ทางบริษัทยังไม่สามารถพิสูจน์หลักทางการเงินได้ว่าเงินที่หมุนเวียนราว 2-3 หมื่นล้านบาทมีที่มาที่ไปอย่างไร การจะให้ปปง.ถอนอายัดบัญชีก็คงเป็นไปไม่ได้
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องกรณีของโอเอ ก็คงเป็นสิ่งที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการของศาล แต่ในภาพรวมของการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ยังคงเดินหน้า ปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างต่อเนื่อง จับกุมทัวร์ผิดกฎหมาย การใช้มาตรการทางภาษี มาตรวจสอบการทำธุรกิจที่เลี่ยงภาษี การควบคุมคุณภาพในการขายสินค้า เป็นต้น ซึ่งจากการเข้มงวดทำให้ในขณะนี้แทบจะไม่มีทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะคนกลัวไม่กล้าทำ และทางกระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬา ก็มีการกำหนดราคาขายทัวร์ขั้นตํ่าออกมา ส่งผลให้การทำทัวร์มีคุณภาพมากขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,296 วันที่ 14 - 16 กันยายน พ.ศ. 2560
ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย ที่นำสืบหักล้างกันแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยประกอบธุรกิจให้เช่ารถบัสนำเที่ยวและจำหน่ายสินค้าแก่นักท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบธุรกิจท่องเที่ยว มิใช่ประกอบธุรกิจนำเที่ยวไม่ต้องขอจดทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว ส่วนคำว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นการเรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และมีการกำหนดโปรแกรมท่องเที่ยวเอาไว้ก่อนแล้ว ซึ่งในไทยมีการประกอบธุรกิจลักษณะเช่นนี้กว่า 300 บริษัท มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด
[caption id="attachment_207530" align="aligncenter" width="354"]
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้ทางศาลชั้นต้นจะมีการยกฟ้องในคดีดังกล่าว แต่กระบวนการทางคดีก็ยังไม่จบ เพราะมีถึง 3 ศาล ซึ่งต่อไปเราก็จะมีการดำเนินอุทธรณ์ต่อ ซึ่งขณะนี้กำลังรอรายละเอียดเอกสารในการพิจารณาของศาลชั้นต้น จากนั้นทางอัยการก็จะส่งฟ้องคดีต่อในชั้นอุทธรณ์ แต่รายละเอียดยังพูดไม่ได้มากนัก
ส่วนกรณีการจะถอนอายัดบัญชีของบริษัทในเครือโอเอ เป็นไปตามการพิจารณาของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตราบใดที่ทางบริษัทยังไม่สามารถพิสูจน์หลักทางการเงินได้ว่าเงินที่หมุนเวียนราว 2-3 หมื่นล้านบาทมีที่มาที่ไปอย่างไร การจะให้ปปง.ถอนอายัดบัญชีก็คงเป็นไปไม่ได้
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องกรณีของโอเอ ก็คงเป็นสิ่งที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการของศาล แต่ในภาพรวมของการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ยังคงเดินหน้า ปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างต่อเนื่อง จับกุมทัวร์ผิดกฎหมาย การใช้มาตรการทางภาษี มาตรวจสอบการทำธุรกิจที่เลี่ยงภาษี การควบคุมคุณภาพในการขายสินค้า เป็นต้น ซึ่งจากการเข้มงวดทำให้ในขณะนี้แทบจะไม่มีทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะคนกลัวไม่กล้าทำ และทางกระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬา ก็มีการกำหนดราคาขายทัวร์ขั้นตํ่าออกมา ส่งผลให้การทำทัวร์มีคุณภาพมากขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,296 วันที่ 14 - 16 กันยายน พ.ศ. 2560
