ซีไอเอ็มบีตั้งกองหุ้นเวียดนาม ชูเศรษฐกิจเติบโตสูง บริโภคคึกคัก ราคาหุ้นยังถูก

14 ก.ย. 2560 | 23:07 น.
บลจ.ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิลฯ มั่นใจเศรษฐกิจเวียดนามรุ่ง อยู่ในช่วงของการเติบโต พร้อมเปิดตัวกองทุนแรกของไทยลงทุนหุ้นเวียดนาม 100% คัดหุ้นพื้นฐานดี แบรนด์ดัง มาตรฐานสากล ได้ผลดีจากการบริโภคในประเทศเติบโต

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2560 นี้ บริษัทมีแผนเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม หลังจากได้เข้าไปศึกษาข้อมูลมาเป็นเวลา 1 ปี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะเป็นกองทุนแรกของไทยที่ลงทุนหุ้นในเวียดนาม 100%

[caption id="attachment_207492" align="aligncenter" width="335"] วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล จำกัด วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล จำกัด[/caption]

“เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามกำลังเติบโต ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วและสูงกว่าไทยถึง 2 เท่า ขณะที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยน้อยกว่าไทย 7 ปี อยู่ที่ 30 ปี ส่วนไทยเฉลี่ย 38 ปี จากนี้แนวโน้มคนหนุ่มสาวในเวียดนามจะใช้จ่ายและบริโภคสูงซึ่งหนุนรายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นรวมทั้งเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าลงทุนจำนวนมาก ทำให้เวียดนามน่าสนใจ” นายวิน กล่าว

สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุนจะเน้นเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีการเติบโตสูง จากปัจจุบันตลาดเวียดนามมีหุ้น 700 บริษัท ซึ่งผ่านการคัดเลือกด้วยเกณฑ์สภาพคล่องและข้อจำกัดต่างๆ ของบริษัทจะเหลือหุ้นในยูนิเวิร์สประมาณ 200 บริษัท และคัดหุ้นที่สนใจเหลือ 30-40 บริษัท ก่อนเลือกลงทุนจริงเพียง 10-15 บริษัทเท่านั้น ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค เครื่องประดับและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของการบริโภคในประเทศ

อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจกังวลเรื่องคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในเวียดนาม เนื่องจากหลายบริษัทยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งสภาพคล่องของหุ้นแต่ละตัวน้อย เพราะติดเพดานการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในแต่ละบริษัทที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้การเข้าลงทุนในหุ้นแต่ละบริษัทจะต้องจ่ายค่าพรีเมียมหรือส่วนต่างให้แก่ผู้ซื้อประมาณ 3-20% แล้วแต่บริษัท ส่งผลให้การบันทึกบัญชีตามราคาตลาด ณ สิ้นวันมูลค่ากองทุนจะติดลบ แต่เวลาที่กองทุนขายหุ้นออกก็จะขายในราคาบวกพรีเมียมเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนต้องทำความเข้าใจก่อนลงทุน อีกทั้งกองทุนจะแก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องด้วยการลงทุนในกองทุน ETF หุ้นเวียดนามด้วย เพื่อไม่เสียค่าพรีเมียมหุ้นที่สูงเกินไป
นายวิน กล่าวว่า กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและควรลงทุนระยะ 1 ปีขึ้นไป โดยกองทุนจะไม่เปิดให้ซื้อขายได้ทุกวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าธรรมเนียมธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในตลาดเวียดนามค่อนข้างสูง จึงจะเปิดให้ซื้อขายเป็นช่วงเวลา
แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ01-3-1
“ตลาดหุ้นเวียดนามและค่าเงินด่องเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงเห็นเงินลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนมากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นเวียดนามถูกกว่าไทย ปัจจุบันพี/อี 14 เท่า ส่วนไทย 15-16 เท่า แต่จีดีพีเวียดนามเติบโต 2 เท่าของไทย อีกทั้งทางการเวียดนามพยายามเพิ่มเพดานการลงทุนของต่างชาติและมีกฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น รวมทั้งมีเป้าหมายผลักดันตลาดหุ้นเวียดนามที่อยู่ในกลุ่ม Frontier Market ให้ขยับขึ้นไปอยู่ในกลุ่ม Emerging Market หรือตลาดเกิดใหม่ใน 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะดึงดูดเงินลงทุนได้อีกมาก” นายวิน กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทได้จำลองพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่จะเข้าลงทุนพบว่า 1 ปีย้อนหลังจากข้อมูล ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 กองทุนให้ผลตอบแทน 21% ซึ่งสูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 16% โดยหุ้นในพอร์ตมีกำไรเติบโตประมาณ 25-30%

“กองทุนนี้เราจะเข้าไปเลือกลงทุนหุ้นด้วยตัวเอง โดยมีทีมของบลจ.ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิลฯในไทยและของมาเลเซีย ซึ่งมีการติดตามและวิเคราะห์หุ้นในเวียดนามอยู่แล้ว รวมทั้งมีการเข้าพบผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนปีหนึ่งหลายครั้ง ซึ่งเป็นหลักการก่อนที่เราจะเข้าไปลงทุน” นายวิน กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,296 วันที่ 14 - 16 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1