รัฐกระตุ้นหุ้นส้มหล่นธุรกิจกลุ่มแบงก์เด่น

16 ก.ย. 2560 | 07:03 น.
ตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นเหนือ 1,640 จุดนักวิเคราะห์หวังสูงทะลุ 1,700 จุดภายในปีนี้ ขานรับภาพชัดเจนเร่งลงทุนโครงการใหญ่ กระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนา EEC หนุนธุรกิจบริษัทจดทะเบียนหลายกลุ่ม คาดกำไรแบงก์เติบโตถึงปี 2562

นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย พลิกสถานการณ์ตลาดเป็นขาขึ้น สร้างความกระชุ่ม กระชวยให้นักลงทุนไทยและ กระตุ้นให้เกิดการเก็งกำไรหุ้นรายตัว โดยเฉพาะบริษัทหรือกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ที่จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่มีนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งออกโรงเตือนว่าหุ้นบางตัวร้อนแรงเกินไปและผลของนโยบายต่างๆกว่าจะส่งผลบวกต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังต้องรอเวลาไปปีหน้าหรือปีต่อๆไป

นายวิญญู ศรีวิริยานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณฯ กล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐและ EEC ได้แก่ หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากการสร้างเมืองใหม่ซึ่งจะดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนรวมถึงกลุ่มวัสดุก่อสร้างและโลจิสติกส์

“หุ้นเหล่านี้ยังน่าสนใจและหลายตัวราคายังไม่แพง เมื่อโครงการเดินหน้าแล้วจะมีการลงทุนต่อเนื่อง 3-5 ปี เราจึงมองเชิงบวกกับธีมลงทุนเหล่านี้ สำหรับนักลงทุนระยะสั้นยังสามารถเข้าเก็งกำไรได้ ส่วนนักลงทุนระยะยาวอาจรอให้กฎหมาย EEC ผ่านก่อนก็ได้” นายวิญญู กล่าว

นอกจากนี้มองว่าหุ้นกลุ่มการบิน ประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ต่างๆรวมถึงรถไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าไฮเทคโนโลยีน่าจะได้ประโยชน์ในลำดับถัดไป

ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่งกล่าวว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการ EEC ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ประปา ไฟฟ้า โลจิสติกส์ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากราคาที่ดินรอบข้างที่ปรับเพิ่มขึ้น หุ้นหลายตัวปรับขึ้นรับข่าวดังกล่าว แล้วแต่ยังมีบางตัวไม่แพง

ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวขึ้นหลังนักลงทุนต่าง ประเทศเข้ามาลงทุน เนื่องจากราคาแบงก์ไม่แพง อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจต้องระวัง เพราะเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนอาจเก็งกำไรในค่าเงินบาทที่คาดการณ์ว่าจะแข็งค่าขึ้นอีก 7%

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ฯ กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต คาดตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 จนถึงเดือนสิงหาคม 2561 จะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดัชนีหุ้นปี 2561 ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,800 จุดได้ ส่วนสิ้นปีนี้คงเป้าหมายไว้ที่ 1,700 จุด

บล.เอเซียพลัสฯ แนะนำว่าช่วงนี้ตลาดพักฐานเป็นจังหวะซื้อ คาดดัชนียังมีโอกาสขึ้นแตะ 1650 จุด สะสมหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ เช่น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ บริษัท โรบินสัน จำกัด(มหาชน) หรือ ROBINS

ขณะเดียวกันบล.เอเซียพลัสฯออกบทวิเคราะห์กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และให้นํ้าหนักมากกว่าตลาด คาดกำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตอีกครั้งและขึ้นสูงสุดของปีในไตรมาส 3 แนวโน้มกําไรสุทธิปี 2561-2562 จะกลับมา เติบโตเฉลี่ยกว่า 11% ส่วนการตั้งสํารองหนี้จะเริ่มเห็นแนวโน้มที่ลดลงของกลุ่มธนาคารใหญ่ โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL,ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ส่วนธนาคารเล็กยังคงรักษาการทํากําไรไตรมาส 3 ได้โดดเด่น

“ปัจจัยแวดล้อมเอื้อต่อความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นทั้งการลงทุนใหญ่ของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึง ความไม่เชื่อมั่นต่อบี/อี เลือก SCB,KBANK และบริษัท ทุนธนชาตฯ หรือ TCAP เป็น top pick ราคายังมีโอกาสปรับขึ้นและปันผลตอบแทนที่จูงใจให้ลงทุน TCAP, SCB ”บล.เอเซียพลัสฯระบุ

นายชเนศวร์ แสงอารยะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอนฯ (PYLON) ผู้นำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก (เสาเข็มเจาะ) กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป เชื่อมั่นว่า PYLON จะได้รับอานิสงส์งานก่อสร้างของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน

ขณะนี้อสังหาริมทรัพย์หลายรายวางแผนจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมมากขึ้นรวมทั้งโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม เหลือง และชมพู ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่างานในมือและกำไรเติบโตต่อเนื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่งานก่อสร้างชะลอตัวค่อนข้างมากในไตรมาส 2 และ 3 ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะตํ่ากว่าปีก่อน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,296 วันที่ 14 - 16 กันยายน พ.ศ. 2560

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว