ศาลสั่ง “หมอระวี” ชดใช้ 9.7 ล้าน นำม็อบ กคป.ปิด ปตท.ปี 57

01 ก.ย. 2560 | 12:44 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ย. 2560 | 19:52 น.
ศาลแพ่ง สั่ง "หมอวีระ" และ 3 แกนนำ กคป. "ปฏิรูปพลังงานไทย" ชดใช้ 9.7 ล้านให้ ปตท. เหตุชุมนุมปิดอาคาร "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ"ปี57

- 1 ก.ย.60 - เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอิทธิบูรณ์ อ้นวงษา, นายทศพล แก้วทิมา, นพ.ระวี มาศฉมาดล และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กลุ่มแกนนำกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) เป็นจำเลยที่ 1-4 ฐานกระทำละเมิด เรียกค่าเสียหายจากกรณีเมื่อวันที่ 13 ม.ค.57 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำผู้ชุมนุมบุกรุกบริเวณพื้นที่ของอาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ พื้นที่ต่อเนื่องของอาคารสำนักงานใหญ่ของ บริษัท ปตท. โจทก์โดยกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าครอบครองพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.57 ต่อเนื่องกัน

aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL25zLzAvdWQvNDMyLzIxNjE3NTAvNzYwNTU4LTAxLmpwZw==

ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าใช้อาคารและพื้นที่ในสำนักงานใหญ่ได้ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องปิดอาคารสำนักงานใหญ่ จนได้รับความเสียหายและขาดรายได้จากการประกอบกิจการ จึงขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 15,920,737.54 บาท และชดใช้ เงินค่าขาดรายได้วันละ 123,160.83 บาท กับชดใช้เงินต้นทุนที่เพิ่มขึ้นวันละ 280,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่ หยุดทำการละเมิด จำเลยทั้งสี่ ให้การว่าได้เข้าไปร่วมกันชุมนุมโดยชอบ และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฯ

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า นายอิทธิบูรณ์ จำเลยที่ 1 และนายสมเกียรติ จำเลยที่ 4 มีพฤติการณ์ชุมนุมโดยขึ้นเวทีปราศรัยและเป็นตัวแทนเข้าร่วมในการเจรจา ทั้งยังมีพฤติการณ์ร่วมกับ นายทศพล จำเลยที่ 2 และนพ.ระวี จำเลยที่ 3 เป็นแกนนำเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชน บุกรุกเข้าไปในบริเวณพื้นที่อาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกระทรวงพลังงานโดยเมื่อมีพื้นที่ต่อเนื่องกับพื้นที่อาคารสำนักงานใหญ่ของ บริษัท ปตท.ฯโจทก์ โดยไม่มีรั้วกั้น


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว

แล้วต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนย้ายเข้าไปในพื้นที่ของอาคารสำนักงานใหญ่ของโจทก์ ใช้อุปกรณ์ตัดโซ่เหล็กที่คล้องประตูและตัดแผ่นเหล็กที่โจทก์ได้เชื่อมประตูเหล็กทั้งสองบานขาด ออกจากกัน ใช้บันไดพาดและปีนเข้ามาในพื้นที่สำนักงานใหญ่ และยังนำกระสอบทรายและยางรถยนต์มา สร้างเป็นแนวป้องกันโดยรอบบริเวณพื้นที่ชุมนุมและบนพื้นผิวจราจรถนนวิภาวดี-รังสิตด้านหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ตลอดแนวมีการจัดตั้งเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง , เครื่องปั่นไฟ , ติดตั้งเต็นท์ขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวมทั้งจัดแสดงดนตรีและกิจกรรมต่างๆ โดยเครื่องขยายเสียงส่งเสียงดังรบกวนอย่างต่อเนื่อง
Image

ทั้งนี้การกระทำของจำเลยทั้งสี่และผู้ชุมนุมเป็นผลให้พนักงานของโจทก์และประชาชนไม่สามารถหรือไม่สะดวกในการเข้าใช้อาคาร และพื้นที่ทั้งหมดของโจทก์เพื่อประกอบการงานตามปกติของโจทก์ได้ จึงเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการรบกวนการครอบครองอาคารสำนักงานของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้นการชุมนุมของจำเลยทั้งสี่และผู้ชุมนุม จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 ที่บัญญัติว่า “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลนั้นท่านว่าย่อมเป็นการอันมิชอบด้วยกฏหมาย” ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสี่ จึงเป็นการร่วมกัน กระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็น แกนนำ กคป. ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 9,714,480 บาทแก่โจทก์

สำหรับคดีแพ่งนี้ เป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งตามกฎหมาย คู่ความยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วันนับจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ01

อย่างไรก็ดีคดีนี้ นับเป็นสำนวนที่ 2 แล้วที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ แกนนำกคป.ชดใช้ค่าเสียหายจากการชุมนุมปิดล้อมและเข้าไปในอาคารกระทรววพลังงาน โดยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง มีคำพิพากษา ในคดีที่ บริษัท เอนเนอร์ยีคอมเพล็กซ์ จำกัด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา, นายทศพล และนพ.ระวีแกนนำ กคป., นายสมเกียรติ และนายธวัชชัย พรหมจันทร์ แกนนำ กคป. เป็นจำเลยที่ 1-5 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 118,930,051.44 บาท ศาลแพ่งวินิจฉัยไว้เช่นกันว่า การกระทำของแกนนำกคป. จำเลยเป็นการใช้สิทธิอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ พนักงานของโจทก์ และประชาชนผู้มาติดต่อ รวมทั้งผู้เช่าพื้นที่ในอาคารของโจทก์

ซึ่งเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนที่โจทก์ต้องขาดรายได้ที่เป็นค่าเช่า, ค่าบริการพื้นที่, ค่าตลาดนัด, รายได้จากค่าบริการที่จอดรถ, ค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเช่าที่อื่นเป็นสำนักงานชั่วคราว และค่าเสียหายอื่นๆ อันเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลยทั้งห้า จึงให้ร่วมกันชดใช้เป็นเงินทั้งสิ้น 95,923,547.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องที่ 12 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

ขณะที่ปัจจุบัน จำเลยทั้งห้าและผู้ชุมนุม ได้รื้อถอนสิ่งต่างๆ ออกจากพื้นที่การครอบครองของโจทก์แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสั่งห้ามจำเลยทั้งห้าและผู้ร่วมชุมนุมเข้าไปเกี่ยวข้องกับพื้นที่ของโจทก์อีก และสำหรับค่าเสียหายรายวันนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าและกลุ่มผู้ชุมนุมมีการบุกรุกเข้ายึดถือการครอบครองพื้นที่ของโจทก์นับแต่วันฟ้องที่ 12 มีนาคม 2557 อีก ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว