สำหรับนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เริ่มต้นในปี 2554 แต่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ทำให้เกิดความเสียหาย กระทั่ง น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรมอดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาเปิดโปงกลโกงทุจริตจำนำข้าวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยชี้ให้เห็นจุดอ่อนสำคัญของนโยบายรับจำนำข้าว คือกำหนดราคารับจำนำไว้สูงกว่าราคาตลาดถึง 50% ซึ่งนอกจากจะทำให้ประเทศเสียหายเกินกว่า 6 แสนล้านบาทแล้ว ราคารับจำนำที่สูงยังเอื้อให้เกิดการทุจริตที่สร้างความเสียหายไม่แพ้กัน
ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีจำนำข้าว นำมาสู่การชี้มูลความผิดด้วยมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง โทษฐาน “ปล่อยปละให้มีการทุจริต และไม่ระงับยับยั้งความเสียหาย” กระทั่งอัยการสูงสุดนำคดีฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดำเนินคดีอาญากับนางสาวยิ่งลักษณ์
อีกทางหนึ่ง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งเดินหน้าเอาผิดกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว โดยตั้งคณะกรรมการสอบความรับผิดชอบทางละเมิด ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามคำสั่งทางปกครองคดีละเมิดเรียกค่าเสียหายจากนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นจำนวนเงิน 35,717 ล้านบาท ส่งผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งเรียกค่าเสียหาย พร้อมขอให้ทุเลาการบังคับใช้คำสั่ง แต่คำขอครั้งแรกถูกตีตกไป โดยศาลชี้ว่ายังไม่มีการยึดอายัดทรัพย์เกิดขึ้นจริง