พีแอนด์จีแก้เกมสู้สงครามราคา

28 ส.ค. 2560 | 09:03 น.
เอ็มดีใหม่ “พีแอนด์จี” เดินหน้าดันยอดขายโต 50% ภายในปี 2563 ใช้ 3 กลยุทธ์ดันยอด รับตลาดไทยหินกว่าที่คาด หลังเจอคู่แข่งใช้สงครามหั่นราคา 50%

นายราฟฟี่ ฟาร์ฮาโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ พีแอนด์จี เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงวางเป้าหมายสร้างการเติบโต 50% ให้กับพีแอนด์จีภายในปี 2563 นับจากปัจจุบัน ขณะที่ปีนี้คาดว่าบริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตด้านยอดขายได้ในอัตราเลข 2 หลัก สูงกว่าอัตราการเติบโตของทั่วโลกที่เติบโตประมาณ 2% ซึ่งตลาดประเทศไทยมีความสำคัญ ทั้งทางด้านเป็นฐานการผลิตสินค้ากลุ่มแฮร์แคร์และบิวตี้ รวมถึงเป็นห้องแล็บพัฒนาสินค้าใหม่

กลยุทธ์สร้างการเติบโตในอัตราดังกล่าว บริษัทยังคงใช้ 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.นวัตกรรม ปัจจุบันพีแอนด์จีทั่วโลก ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพได้มากกว่า 21 แบรนด์ สร้างรายได้มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท 2. ความเป็นผู้นำ พีแอนด์จีได้รับการยอมรับว่ามีระบบการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้เติบโตสู่การบริหารมืออาชีพในระดับสากล ที่ให้ความสำคัญของความแตกต่างทั้งเพศ เชื้อชาติ ศาสนา เป็นต้น และ 3. ความเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ในทุกกิจกรรมที่รับผิดชอบ

[caption id="attachment_199984" align="aligncenter" width="335"] ราฟฟี่ ฟาร์ฮาโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ราฟฟี่ ฟาร์ฮาโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด[/caption]

“ตลาดประเทศไทย นอก จากเป็นฐานการผลิตส่งออกทั่วโลกแล้ว ยังเป็นห้องทดลอง ผลิตสินค้ากลุ่มใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าดาวน์นี่ ที่เปิดตัวครั้งแรกของโลก และประเทศไทยยังมีความ หลากหลายของช่องทางค้าปลีก ที่มีตั้งแต่ไฮเปอร์ จนถึงร้านสะดวกซื้อ ทำให้ใช้เป็นแนวทางการทำตลาดในประเทศอื่นๆ ด้วย ส่วนความท้าทายของตลาดในประเทศ ไทย คือ ในช่วงแรกคิดว่าจะง่ายเหมือนประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่ปรากฏว่าตลาดค่อนข้างยาก และมีความท้าทาย”

สำหรับความท้าทายของตลาดในประเทศไทย นอกจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่ชะลอตัว ส่งผลให้สินค้าหลายแบรนด์ไม่เติบโต ภาวะการแข่งที่รุนแรงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี โดยเฉพาะการลดราคาสินค้า คู่แข่งบางรายมีการลดราคาสินค้าถึง 50% ซึ่งพีแอนด์จีไม่เน้นการทำสงครามราคา แต่จะมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการใช้นวัตกรรมสินค้ามาเป็นจุดในการแข่งขันและสร้างการเติบโต นอกจากนี้ยังเตรียมการทำตลาดในหลากหลายรูปแบบที่เป็นนวัตกรรมทางการตลาดด้วย

โดยภาพรวมในปีนี้พีแอนด์จียังมองทิศทางเป็นบวก ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคระดับบนยังมีกำลังซื้อที่ดี และมีอัตราการเติบโตของสินค้ากลุ่มดังกล่าว ส่วนกลุ่มระดับ กลางและล่าง ยังอยู่ในภาวะทรง ตัวและมีแนวโน้มลดลง ซึ่งแนวทางการทำตลาดจะเน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม และยังคงใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างการเติบโต โดยสินค้าที่ถือว่าสร้างการเติบโตได้ดีที่สุดของพีแอนด์จี คือ แบรนด์ดาวน์นี่ และโอเลย์ ซึ่งกลุ่มแฮร์แคร์ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 40% และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้า มีส่วนแบ่งตลาด 30%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,291 วันที่ 27 - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560