บจ.mai อ่อนแรง

23 ส.ค. 2560 | 12:14 น.
เศรษฐกิจไทยที่เติบโตดีเกินคาดในไตรมาส 2/2560 คือขยายตัว 3.7% แต่ประชาชนยังมีความรู้สึกไม่มั่นคง ต่างระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย เพราะไม่รู้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยอะไรบ้างในอนาคต เช่นเดียวกับธุรกิจเอสเอ็มอี ที่การค้าการขายฝืดเคือง รวมถึงบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กด้วย

ล่าสุด นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ผลงานบริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 133 บริษัท รวม 6 เดือน กำไรสุทธิ 1,977 ล้านบาท ลดลง 21.30% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 23.01% ลดลงจาก 23.93% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนมียอดขายรวม 71,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.85%
“กำไรสุทธิรวมชะลอตัวลง เนื่องจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายสูงขึ้น รวมถึงหลายบริษัทมีการลงทุนต่อเนื่องทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง ยกเว้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยีที่มีกำไรสุทธิดีขึ้น” นายประพันธ์กล่าว

MP18-3290-B หากคิดเฉพาะผลงานไตรมาส 2/2560 บจ. mai มีกำไรสุทธิรวม 761 ล้านบาท ลดลง 43.55% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 22.57% ลดลงจาก 23.99% ในไตรมาส 2/2559 ยอดขายรวม 35,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.64%
สำหรับโครงสร้างเงินทุนรวมของ บจ. mai พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE Ratio) อยู่ในระดับ 0.99 เท่า ในขณะที่สิ้นปี 2559 อยู่ในระดับ 1.05 เท่า

ขณะที่กำไรบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) เพิ่มขึ้น 5.62% เป็น 5.17 แสนล้านบาทในครึ่งปีแรกแต่ลดลง 9.54% เหลือกำไรสุทธิ 225,668 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2560 สะท้อนถึงความน่าสนใจของการลงทุน ในช่วง เดือนกรกฎาคม มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของทั้ง 2 ตลาด รวมอยู่ที่ 41,483 ล้านบาท ลดลง 35%

ปัจจุบัน มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของ SET อยู่ที่ 15,575,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.29% ขณะที่ mai อยู่ที่ 311,257 ล้านบาท ลดลง 26.83% จากสิ้นปี 2559 อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.11% และ maiอยู่ที่ 1.59%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,290 วันที่ 24 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560