KIA ชู 2 โมเดลใหม่ โซลอีวี-สติงเจอร์

24 ส.ค. 2560 | 13:08 น.
กางแนวรบตลาดรถนำเข้า “ยนตรกิจ เกีย” เล็ง 2 โมเดลใหม่ “โซล อีวี” และ “สติงเจอร์” เจาะกลุ่มลูกค้านิช มาร์เก็ต พร้อมเจรจาบริษัทแม่ในการนำเข้ารถจากเพื่อนบ้าน เพื่อทำราคาแข่งขันได้ในตลาด

นางสาวธันยนันท์ ลีนุตพงษ์ กรรมการบริหาร บริษัท ยนตรกิจ เกีย มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า แผนงานในครึ่งปีหลัง ได้ทำการเปิดตัว “เกีย โซล อีวี” (Kia Soul EV) เป็นครั้งแรกในอาเซียนที่งานบิ๊ก มอเตอร์เซล 2017 ซึ่งรถรุ่นใหม่จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ คาดว่าราคาจะไม่เกิน 2 ล้านบาท

[caption id="attachment_1562" align="aligncenter" width="503"] ธันยนันท์ ลีนุตพงษ์ ธันยนันท์ ลีนุตพงษ์[/caption]

สำหรับเกีย โซล อีวี ใช้แบตเตอรี่ ลิเทียม-ไอออน โพลิเมอร์ (LIPB) ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ สามารถวิ่งได้ 250 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียง 1 ครั้ง มีกำลังแรงม้า 81.4 กิโลวัตต์ ที่ 2,730-8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 285 นิวตันเมตร ที่ 2,730 รอบต่อนาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อีก 1 รุ่นที่บริษัทเตรียมจะเปิดตัวคือ “เกีย สติงเจอร์ “(Kia Stinger)ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งสไตล์สปอร์ต 4 ประตู เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น ชื่นชอบรถที่มีรูปทรงสปอร์ต หรูหรา และเป็นนิช มาร์เก็ต โดยจะเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายปี และพร้อมขายทันที

“นอกจากโมเดลหลักที่ขายดีอย่างแกรนด์ คาร์นิวัล เรายังมีแผนที่จะนำรถรุ่นอื่นๆเข้ามาทำตลาด ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปคือ เกีย โซล อีวี ที่ได้นำมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในอาเซียน ส่วนราคาจำหน่ายเนื่องจากต้องรอความชัดเจนเรื่องภาษีจากสรรพสามิตใหม่ที่จะมีผล 19 กันยายนนี้ แต่บริษัทจะพยายามจะทำราคาไม่ให้เกิน 2 ล้านบาท ส่วนอีก 1 รุ่นที่คือ สติงเจอร์ ก็เป็นอีกโมเดลที่สปอร์ต และพรีเมียม ซึ่งรุ่นนี้คาดว่าราคาจะ 2 ล้าน กว่าๆ แต่ไม่ถึง 3 ล้าน”

นางสาวธันยนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่าการนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่าย บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างสาธารณูป โภคเบื้องต้น อาทิ ทำวอลล์
บ็อกซ์ หรือกล่องชาร์จไฟตามบ้าน ที่จะติดตั้งให้กับลูกค้าที่ซื้อ เกีย โซล อีวี โดยตอนนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตนอกจากนั้นแล้วจะมีการติดตั้งจุดชาร์จที่โชว์รูม และมีการพูดคุยกับ ปตท.ที่มีแผนขยายจุดชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

MP32-3290-3 “โซล อีวี นำเข้ามาจากเกาหลี และจ่ายภาษีเต็มจำนวน ทำให้ราคาจำหน่ายสูง ซึ่งบริษัทได้พูดคุยกับบริษัทแม่เกี่ยวกับการประกอบจากโรงงานของเพื่อนบ้าน อาทิ โรงงานมาเลเซียว่าสามารถประกอบได้หรือไม่ เพราะหากทำได้ ภาษีนำเข้าก็จะลดลงและทำให้ราคาจำหน่ายแข่งขันได้ในตลาด”

นางสาวธันยนันท์ กล่าวถึงแผนงานด้านอื่นๆว่า บริษัทกำลังพิจารณาการก่อตั้งโชว์รูมแฟล็กชิพซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ส่วนโชว์รูมและศูนย์บริการปัจจุบันมีจำนวน 18 แห่งทั่วประเทศ

“ปีนี้เรามีการเดินหน้าในหลายๆ ส่วน ทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์ การทำตลาด การลดราคาอะไหล่ รวมไปถึงการรับประกันคุณภาพรถนานกว่า 5 ปี มอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่นเดียวกับขยายโชว์รูมและศูนย์บริการเพื่อรองรับกับการเติบโต โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเรามียอดขาย 452คัน เติบโต 50% แบ่งออกเป็นรุ่นต่างๆได้แก่ แกรนด์ คาร์นิวัล 354 คัน,เค 2500 ประมาณ 70-75 และอื่นๆ 23 คัน ซึ่งเราคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมียอดขายรวม 1,000 คัน เติบโตจากปีก่อนหน้าที่ขายได้ 646 คัน”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,290 วันที่ 24 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560