เทคนิครับมือพนักงาน‘คนพันธุ์มิลเลนเนียล’
คนพันธุ์นี้กำลังแพร่ขยายไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับธุรกิจของกลุ่มสตาร์ตอัพ ที่มีคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้เป็นกำลังหลัก หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจแบบ สตาร์ตอัพ ก็คือ กำลังคน หรือ ทีมงาน ซึ่งพนักงานของบริษัทสตาร์ตอัพส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนกลุ่มมิลเลนเนียล ที่ถือเป็นขุมกำลังที่สำคัญและมีศักยภาพ ช้อปปี้ (Shopee) ในฐานะที่เป็นสตาร์ตอัพดาวรุ่งที่มีทีมงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีพนักงานจำนวนกว่า 250 คนในประเทศไทย โดยมีกลุ่มชาวมิลเลนเนียลเป็นกำลังหลักของทีม
เทเรนซ์ แพง ประธานฝ่ายปฏิบัติการช้อปปี้ จึงแนะนำเทคนิคการทำงานร่วมกับชาวมิลเลนเนียลให้กับสตาร์ตอัพมือใหม่ หรืององค์กรอื่นๆ ได้นำไปประยุกต์และปรับใช้ เพื่อให้การทำงานร่วมกับคนพันธุ์มิลเลนเนียลเป็นไปอย่างราบรื่น และดึงศักยภาพของคนเหล่านี้มาใช้ได้อย่างเต็มที่
1. ปรับตัวให้ไว ตามให้ทัน
ชาวมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มคนที่เปิดกว้าง ทั้งในเรื่องของแนวคิดและวิธีการ พวกเขาจึงพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับตัว ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและ สถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะฉะนั้นบริษัทจึงควรมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี อีกทั้งควรเปิดกว้างรับสิ่งใหม่ๆ และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์อยู่เสมอ
2. สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ยืดหยุ่น
การทำงานของคนรุ่นใหม่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายเป็นหลัก เมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้วก็อยากบรรลุเป้าหมายให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นชาวมิลเลนเนียลจึงมีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาเพื่อให้การทำงานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะฉะนั้นองค์กรหรือบรรดาสตาร์ตอัพ จึงควรปรับวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่น และสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้บรรลุเป้าหมายให้ได้
นอกจากนี้ พวกเขายังมองว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานควรให้ความรู้สึกผ่อนคลายและยืดหยุ่น ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในสถานที่ทำงาน เช่น ระบบโต๊ะทำงานแบบฮอตเดสก์ (Hot Desk) และพื้นที่สำหรับการพักผ่อน เป็นต้น
3. ทุกเสียงมีความสำคัญ
การได้พูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับเพื่อนร่วมงานรวมไปถึงผู้บริหาร คือ สิ่งที่ชาวมิลเลนเนียลต้องการ เพราะพวกเขามองว่าการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยประหยัดเวลาและทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้รวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวมิลเลนเนียลยังชอบแสดงความคิดเห็น รวมถึงเสนอไอเดียแปลกใหม่อยู่เสมอ การรับฟังความคิดเห็น ตลอดจนเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพและความสามารถผ่านความคิดและข้อคิดเห็นต่างๆ อย่างเต็มที่ ก็เป็นอีกเรื่องที่บริษัทไม่ควรมองข้าม
คนกลุ่มนี้คาดหวังที่จะได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว ทั้งจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนำไปปรับปรุง พัฒนา หรือสานต่องานนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว หากพวกเขามีคำถาม ก็ควรมีการตอบกลับอย่างรวดเร็ว รวมถึงการให้คำแนะนำจากหัวหน้า การเปิดโอกาสให้มีการปรึกษาหารือระหว่างผู้ร่วมงานกันเอง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาได้พัฒนางานให้ ดียิ่งขึ้น
5. ลดกำแพงระหว่างกัน ตำแหน่งไหนก็คุยกันได้
ชาวมิลเลนเนียลชอบการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ทั้งกับเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร ดังนั้นการลดระบบตามลำดับขั้น (hierarchy) ภายในองค์กร ลดช่องว่างของคำว่าเจ้านายและลูกน้อง เพื่อให้ทุกคนในบริษัทเกิดความรู้สึกว่า สามารถคุยกับใครก็ได้ โดยไม่มีกำแพงของตำแหน่งเป็นข้อจำกัด และกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น นอกจากนี้ การวางตัวของผู้บริหารนอกจากความเป็นผู้นำแล้ว ก็ควรจะวางตัวให้เข้าถึงง่าย ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาอย่างตั้งใจ
6. เสริมทักษะให้เป็นประจำ
ชาวมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มคนที่กระหายความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้นการจัดเทรนนิ่งเป็นประจำเพื่อฝึกฝนทักษะใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น และควรให้โอกาสกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ด้วยการลงมือทำด้วยตัวเอง
การปรับตัว ไม่เพียงแต่องค์กรที่ต้องปรับตัวรับมือกับชาวมิลเลนเนียล ชาวมิลเลนเนียลเองก็ควรปรับตัวด้วยเช่นกัน เพื่อให้เป็นบุคลากรตามที่องค์กรคาดหวัง เพื่อทำให้งานก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและราบรื่น สิ่งที่องค์กรยุคใหม่ต้องการจากบุคลากร คือ ทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำ และพร้อมที่จะให้บริการ รวมไปถึงรับผิดชอบงานของลูกค้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นชาวมิลเลนเนียลต้องสามารถปรับตัวและปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการรู้จักถ่อมตน เสมอต้นเสมอปลาย ค่านิยมหลัก (Core Value) เหล่านี้ เป็นสิ่งที่หลายองค์กรมีเป้าหมายคล้ายๆ กัน เพราะทีมงานที่มีศักยภาพจะช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,290 วันที่ 24 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560