บล.เคทีบีจับตาคดีจำนำข้าว-เฟดกดหุ้นแกว่งแคบ

21 ส.ค. 2560 | 03:28 น.
KTBSTประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (21-25 ส.ค.)ตลาดจับตามอง 2 ปัจจัยสำคัญ คือ การตัดสินคดีจำนำข้าวในวันศุกร์และการประชุมของ Fed ทำให้ทิศทางตลาดสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหว sideway ในกรอบแคบๆ กลยุทธ์ลงทุนควรเลือกลงทุนเป็นรายตัวช่วงสั้นๆ โดยเน้นหุ้นอิงกับเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มธนาคาร , ค้าปลีก ประเมินกรอบ SET Index สัปดาห์นี้ที่ 1,556-1,584 จุด

[caption id="attachment_197464" align="aligncenter" width="503"] ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์[/caption]

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ประเมินแนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (21 – 25ส.ค.) ว่า ในสัปดาห์นี้จะมีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจับตามอง 2 เรื่องคือ การตัดสินคดีจำนำข้าว ในวันศุกร์ที่ 25ส.ค. นี้ หากผลตัดสินออกมาไม่ได้ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อทิศทางการเมืองในอนาคต คาดจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในวันศุกร์ และอีกปัจจัย คือ การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของ Fed ที่เมืองแจ็กสัน โฮล 24-26 ส.ค. ที่ถูกคาดหมายว่า Fed และ ECB จะแสดงความเห็นที่ชัดเจนต่อนโยบายการเงินของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการปรับลด QE ถ้าผลออกมาว่าธนาคารกลางทั้งสองแห่งไม่รีบที่จะลด QE ลงอย่างเร็ว คาดจะออกมาเป็นบวกต่อตลาดหุ้น ส่วนปัจจัยอื่นๆ รองลงมา ได้แก่ การที่คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของ Trump ที่ลาออก ส่งผลต่อโครงการด้านสาธารณูปโภค $1 ล้านล้านเหรียญ อาจ delay เป็นลบทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ แม้จะทำให้ Fed อาจยืดการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอยู่ต่อไปรวมไปถึงสถานการณ์เกาหลีเหนือ และการก่อการร้ายในยุโรป ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้จะเป็นอีกสัปดาห์หนึ่งที่มีตัวแปรหลายตัวทั้งของไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะ 2 ปัจจัยหลักที่นักลงทุน จะต้องรอดู ประกอบกับตลาดผ่านช่วงของการรายงานผลประกอบการ และจะมีหุ้นที่ทยอยขึ้นเครื่องหมาย "XD" จะทำให้ตลาด sideway ในกรอบแคบๆ การลงทุนภาพรวมจึงยังแนะนำชะลอการลงทุน หรือเลือกลงทุนแบบรายตัว (selective buy) เน้นปัจจัยบวกเฉพาะตัวและเข้าลงทุนเพียงกรอบเวลาสั้นๆ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index สัปดาห์นี้ที่ 1,556-1,584 จุด

ทั้งนี้ KTBST แนะนำหุ้นหุ้นในกลุ่มอิงเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก หรือหุ้นอื่นๆ หากตัวเลข GDP หรือตัวเลขส่งออกออกมาดีคาดจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มนี้ด้วย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาระดับหนึ่งแล้วโดยในวันจันทร์ (21ส.ค.) สภาพัฒน์ฯ จะรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 2และระหว่างสัปดาห์ จะมีตัวเลขส่งออก และรายงานยอดขายรถและส่งออกรถยนต์ของไทย

ขณะที่ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีนั้น จากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก อาจต้องไปรอดูราคาผลิตภัณฑ์รายสัปดาห์ ที่จะมีการเปิดเผยวันอังคาร เพื่อดูว่าควรถือหรือขายทำกำไร หรือแม้กระทั่งหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ (น้ำมัน-โรงกลั่นน้ำมัน) ราคาหุ้นเลือกเล่นได้เพียงบางตัว อาทิ TOP และ ESSO ขณะที่หุ้นกลุ่มถ่านหิน (BANPU , LANNA) ราคาหุ้นแทบไม่สนองตอบต่อราคาถ่านหินที่ปรับขึ้นไป $98 เหรียญ อาจเป็นเพราะค่าระวางเรือที่ปรับตัวขึ้นมาด้วย สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้แก่ PSL , GFPT, HFT , AAV, UTP หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค ได้แก่ TPCH, RJH, SVI, MALEE