ประชัน 3 ความหรูรุ่น CKD ปลั๊ก-อินไฮบริดมาแรง ดีเซลโดนโขกภาษี

14 ส.ค. 2560 | 03:20 น.
กลุ่มรถยนต์หรูรุ่นประกอบในประเทศ(CKD) นับเป็นอาวุธหนักและถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำตลาด โดยหลายค่ายพยายามเร่งเวลาการเปิดตัวให้เร็วขึ้นเพื่อชิงความได้เปรียบ หรือมักทิ้งระยะเวลาจากการเปิดตัวรุ่นนำเข้าไม่นาน ต่างจากอดีตที่ต้องรอรถประกอบในประเทศกันข้ามปี

สำหรับความหรูขนาดกลางที่มีรถยนต์รุ่นเด่นอย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส” “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์5” และ “วอลโว่ เอส90” เพิ่งทยอยส่งรุ่นประกอบในประเทศลุยตลาด(วอลโว่ เป็น CKDมาเลเซีย) พร้อมทำราคาลดลงมาได้หลายแสนบาทเมื่อเทียบกับรุ่นนำเข้า

++Mercedes-Benz E350e
เริ่มจาก “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส” W213 เปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมากับ E220d เครื่องยนต์ดีเซล แต่สุดท้ายเมื่อมีความพร้อมกับรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด E350e ที่จัดงานเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม ก็ถอดรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลไปทันที

MP37-3287-1 E350e ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. พร้อมเคลมว่าหลังจากเสียบปลั๊กชาร์จไฟเต็มที่ 4 ชม. รถสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆได้ระยะทาง 33 กม.
โดยอี-คลาส ปลั๊ก-อินไฮบริด แบ่งการขายเป็น 3 รุ่นย่อยคือ E350e Avantgarde ราคา 3.49 ล้านบาท Exclusive 3.79 บาท AMG Dynamic ราคา 4.09 ล้านบาท (ปล่อยไอเสีย 56 กรัม/กม. เสียสรรพสามิต 10%)

จุดเด่น : ช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC เป็นมาตรฐานทุกรุ่น

++BMW 520d Sport
ฝั่งบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์5 โฉมใหม่ (G30)เตรียมทำรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริดประกอบในประเทศเช่นกัน ซึ่งอาจได้เห็นช่วงปลายปีนี้ แต่ก่อนจะถึงวันนั้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาจัดการเปิดตัว 520d ซีเคดี พร้อมประกาศปรับโครงสร้างราคาใหม่ให้รถยนต์ทุกรุ่น

MP37-3287-2 บีเอ็มดับเบิลยู 520d Sport รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 3.529 ล้านบาท ถูกว่าตัวนำเข้า 3.7 แสนบาท(เมื่อเทียบกับโปรแกรมBSI ระดับเดียวกัน ที่ครอบคลุม 5 ปี หรือ 1 แสนกม.) แต่ถ้าซื้อ BSI Standard (ครอบคลุมบริการ 3 ปี หรือ 6 หมื่นกม.)ราคาจะอยู่ที่ 3.439 ล้านบาท โดยมาพร้อมอุปกรณ์อย่างไฟหน้า Adaptive LED ปรับทิศทางตามการหมุนพวงมาลัย และปรับระดับไฟสูงอัตโนมัติ กุญแจรีโมตพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูล Display Key(เหมือนซีรีส์7) ระบบตัวดูดปิดประตู และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย fine-wood trim ในสี poplar grain grey พวงมาลัยและเบาะหนัง พร้อมระบบ Gesture Control (ใช้ท่าทางของมือในการสั่งงาน โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ)คู่กับหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว

520d Sport วางเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม. เคลมอัตราบริโภคนํ้ามันเฉลี่ยไว้ 20 กม./ลิตร (ปล่อยไอเสีย 132 กรัม/กม. เสียสรรพสามิต 30%)

จุดเด่น : เลือกแพ็กเกจ BSI ตามความต้องการ และได้สมรรถนะจากเครื่องยนต์ดีเซล

++Volvo S90 D4-T8 Twin Engine AWD
วอลโว่ ได้ไฟเขียวกับ “เอส90” รุ่นที่ประกอบจากโรงงานประเทศมาเลเซีย(ไม่เสียภาษีนำเข้า) ทำให้ราคารุ่นเครื่องยนต์ดีเซลลดลงไป 9 แสนบาท (แต่เป็นรุ่นย่อยที่ลดออพชันลงมา) เป็น 3.09 ล้านบาท ขณะที่รุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด T8 Twin Engine AWD แบ่งเป็น 2 เกรดคือ Inscription 3.79 ล้านบาท และMomentum ราคา 3.39 ล้านบาท

MP37-3287-3 สำหรับ เอส90 โดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งเยอรมนีด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน พร้อมอัดเทคโนโลยียานยนต์มาเต็มพิกัด ไล่ตั้งแต่ PilotAssist เจเนอเรชันที่ 2 เป็นระบบช่วยในการขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ทำงานได้ถึงความเร็ว 130 กม./ชม. และไม่ต้องอาศัยรถคันหน้านำทาง รวมถึงระบบป้องกันรถยนต์วิ่งออกนอกช่องทาง Run-Off Road Mitigation ทำงานในย่านความเร็ว 65-140 กม./ชม. รวมทั้งระบบ City Safety ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับสัตว์ขนาดใหญ่ Large Animal Detection

รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที เคลมอัตราสิ้นเปลืองนํ้ามันไว้ 20.4 กม./ลิตร (ปล่อยไอเสีย 129 กรัม/กม. เสียสรรพสามิต 30%)
ส่วนรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร รีดกำลังด้วยเทอร์โบและซูเปอร์ชาร์จ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้าขับเคลื่อนล้อหลัง เมื่อรวมทั้ง 2 ขุมพลังจะได้พลังถึง 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 4.8 วินาที เคลมการวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว (Pure mode) ได้ 52 กม. (ปล่อยไอเสีย 41 กรัม/กม. เสียสรรพสามิต 10%)

จุดเด่น : ระบบ Pilot Assist และระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่จัดเต็มที่สุดในคลาส

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,287 วันที่ 13 -16 สิงหาคม พ.ศ. 2560