กลยุทธ์ครึ่งปีหลังเอสซีฯ รุกตลาดตํ่า3ล้าน-เจาะคนโสด

14 ส.ค. 2560 | 04:16 น.
แม้ยอดขายในช่วงครึ่งแรกปี 2560 จะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจของผู้ประกอบการ แต่หากพิจารณาให้ละเอียด ก็จะพบว่า ยังคงมีปัญหาซ่อนอยู่ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนหนี้เสียของภาคที่อยู่อาศัย (Housing NPLs) ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2559 มาอยู่ในระดับ 3.23% โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่สัดส่วน NPL สินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงถึงระดับดังกล่าว ส่งผลต่อความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ

แม้ยอดปฏิเสธสินเชื่อของ 2 สถาบันการเงินใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จะลดลงจากปี 2559 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 40-45% มาอยู่ในระดับ 34-40% ก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นจึงถือได้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2560 จะยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง

[caption id="attachment_193460" align="aligncenter" width="374"] ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)[/caption]

++คงเป้ายอดขาย-รายได้เดิม
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2560 พบว่า ตลาดยังคงมีความต้องการซื้อบ้านอยู่ แต่ความสามารถในการใช้เงินในอนาคตลดลง ทำให้ต้องใช้เงินปัจจุบันในการซื้อบ้าน โดยดูได้จากยอดซื้อ-ขายที่อยู่อาศัยระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท นิยมชำระด้วยเงินสดสูงถึง 51% สูงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ระดับ 48% แต่สำหรับกลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท พบว่า การซื้อด้วยเงินสดลดลงเหลือเพียง 7% จากเดิม 8% ในปี 2559

สำหรับยอดการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10% โดยกลุ่มที่มีสัดส่วนการปฏิเสธสินเชื่อสูงสุดคือกลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท อยู่ที่ระดับ 13.2% จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตลาดยังคงเผชิญกับปัญหาต่อเนื่องไปในช่วงครึ่งหลังปี 2560 แต่ในปีหน้าต้องดูกันอีกที ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการ แต่เราก็ยังมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยเป้ายอดขายอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท และเป้ารายได้ที่ 14,800 ล้านบาท

++เปิดแบรนด์น้องใหม่ เวิร์ฟ
ครึ่งหลังปี 2560 เปิดใหม่ 9 โครงการ 5 แบรนด์ มูลค่า 11,450 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นโครงการแนวราบ กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล ประกอบด้วย 1. โครงการเดอะ เจนทริ พระราม 9 เริ่ม 30 ล้านบาท ในทำเลรามคำแหงซอย 9 ขนาด 3 ชั้น 5 นอน 4 จอดรถ 2. โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด โดยจะเปิด 5 ทำเล ได้แก่ ที่รังสิต, สาทร-ราชพฤกษ์,ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะและสาทร-ปิ่นเกล้า เหตุที่ต้องเปิด 5 ทำเล เพราะปิดไปหลายโครงการ จึงต้องเปิดเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการ เริ่ม 6-20 ล้านบาท โดยเป็นซีรีส์ใหม่ สไตล์นอร์ดิก

3. โครงการเพฟ ราม อินทรา-วงแหวน เริ่มกว่า 4 ล้านบาท โครงการนี้เป็นโครงการที่ 3 โดยโครงการแรกที่รังสิต โครงการที่ 2 แถวประชาอุทิศ และโครงการที่ 3 รามอินทรา-วงแหวน 4. เวิร์คเพลส แจ้งวัฒนะ เริ่ม 9 ล้านบาท เป็นโฮมออฟฟิศ มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท ปัจจุบันยอดขายเฟสแรกมีแล้วกว่า 60%

สุดท้ายแบรนด์น้องใหม่ ทาวน์โฮม เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 เริ่ม 2.59 ล้านบาท จะเปิดขายไตรมาส 4 ขนาด2 ชั้น ผ่อนเดือนละกว่าหมื่นบาท กลุ่มลูกค้าอายุ 25-30 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการอิสระ ต้องการย้ายจากบ้านที่เคยอยู่กับครอบครัว ออกมาอยู่เอง หรือย้ายจากที่ที่เคยเช่าอยู่มาซื้อเป็นของตนเอง ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการพื้นที่ที่มากขึ้น

“แม้ตัวเลขยอดปฏิเสธสินเชื่อในกลุ่ม 3-5 ล้านบาทจะอยู่ในระดับที่สูง แต่บริษัทก็มองว่าตลาดกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่ คิดเป็น 1 ใน 3 ของตลาดรวม ซึ่งทางบริษัทเชื่อว่าการที่มุ่งพัฒนาสินค้าพร้อมขายจะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้”
ทั้งนี้ การเปิดโครงการใหม่จะส่งผลให้บริษัทมีโครงการเพื่อขายทั้งหมด 44 โครงการ มูลค่า 44,135 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการระหว่างการพัฒนา 35 โครงการ พร้อมกับอีก 9 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง และหลังจากที่เปิดโครงการใหม่ สัดส่วนของบ้านราคา 8-15 ล้าน จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 1 ใน 3

++ปั้น IoT ให้เป็นรูปธรรม
หลังจากที่บริษัทได้ประกาศยุทธศาสตร์เรื่อง human-centric innovation เมื่อตอนต้นปี จากนั้นก็มีการขยายธุรกิจใหม่และลงทุนใน platform เรื่องบริการหลังการขายกับ tech start up “Fixzy” ดังนั้นในแผนครึ่งปีหลังบริษัทจึงดำเนินตามยุทธ ศาสตร์ดังกล่าวต่อเนื่อง โดยร่วมพัฒนา IoT smarthome platform ชื่อ “รู้ใจ” สำหรับลูกค้า เอสซี โดยร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ AIS ผู้ให้บริการ Digital Life Service Provider ให้เป็น smarthome platform ที่พัฒนาโดยคนไทย และเพื่อคนไทย และ SC 4.0 housing prototypes ได้มีการใช้ design thinking ในการออกแบบ prototype สำหรับบ้านคอนเซ็ปต์ในอนาคต

เชื่อว่า 3 ปีนับจากนี้ตลาด IoT จะเติบโตอย่างมหาศาล บ้านเกือบทั้งหมดของประเทศจะต้องมีเทคโนโลยีนี้อย่างน้อย 1 ชิ้นอยู่ในบ้านอย่างแน่นอน เราจึงตัดสินใจพัฒนาตัวนี้ขึ้นมา เราจะใช้ IoT ทำให้คนในบ้านใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ซึ่งพฤติกรรมของคนในบ้านจะถูกบันทึกเป็นข้อมูลในคราวน์ ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้ไปคำนวณและทำความรู้จักกับพฤติกรรมเหล่านั้น คาดว่าจะเปิดตัวที่โครงการเดอะ เจนทริ พระราม 9 เฟสที่ 2 เป็นโครงการแรก

ทั้งนี้ จากการทำงานยังพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าที่มีอัตราการเติบโตจากการซื้อบ้านของเรา คือ กลุ่มคนโสด อยู่ในระดับ 30% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขของงานวิจัยของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประ เทศไทย ที่งานวิจัยรายงานว่าตัวเลขดังกล่าวเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมากลุ่มคนโสดมีเพียง 6% ผ่านมา 25 ปี ขยับมาอยู่ที่ 24% อีก 20 ปีนับจากนี้ประชากรไทย 1 ใน 5 จะเป็นคนโสด

กลุ่มนี้จะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกับกลุ่มที่มีครอบครัว เราก็มีโครงการเดอะ นิว นอร์มอล คือบ้านใหม่ที่เราดีไซน์เพื่อกลุ่มคนที่ชอบใช้ชีวิตแบบคนโสด กลุ่มนี้อยากได้บ้านขนาดใหญ่เท่าเดิม แต่อยากได้ห้องนอนที่ใหญ่มากขึ้น จำนวนห้องนอนน้อยลง จะเปิดทดลองขายช่วงปลายปี ในโครงการบางกอกบูเลอวาร์ด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,287 วันที่ 13 -16 สิงหาคม พ.ศ. 2560