ทุนนอกจับคู่อสังหาไทย ดีเวลอปเปอร์เนื้อหอมดันขึ้น HUB ภูมิภาค

14 ส.ค. 2560 | 05:46 น.
สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ชี้ทุนต่างชาติเล็งไทยขยายการลงทุน เร่หาผู้ประกอบการไทยให้วุ่น จับตารายใหญ่ฮุบรายกลาง-เล็ก ด้านคอลลิเออร์ส พบยอดลูกค้าต่างชาติให้แนะนำผู้ร่วมทุนเพิ่มต่อเนื่อง เผยญี่ปุ่นสัดส่วนสูงสุด ล่าสุด แสนสิริจับมือโตคิว กรุ๊ป พัฒนาคอนโดฯมูลค่า 2,000 ล้าน วางแผนระยะยาวปั้นอสังหาฯครบวงจร

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ จากเดิมที่มุ่งพัฒนาโครงการเพื่อเติบโตเพียงลำพัง สู่การจับมือร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งการดำเนินธุรกิจในรูปแบบดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การที่ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจอย่าง จีน ญี่ปุ่น ทำให้นักลงทุนในประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องมองหาแหล่งการลงทุนใหม่ และประเทศไทยก็เป็นเป้าหมายแรกให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต ด้วยเพราะในสายตาชาวต่างชาติมองว่าประเทศไทยเหมาะที่จะเป็นฮับเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และมีความได้เปรียบกว่าประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียน มา และเวียดนาม)

นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตลอดจนแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ยังเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญในการช่วยผลักดันประเทศให้มีศักยภาพ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นักลงทุนชาวต่างชาติจะให้ความสนใจมาลงทุนในประเทศไทย

“ตอนนี้มีกลุ่มทุนจากทั้งจีนและญี่ปุ่น มองหาพันธมิตรร่วมทุนที่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก แต่สิ่งที่จับตามองต่อจากนี้คือ อาจจะมีการจับมือกันเองระหว่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะรายใหญ่ในตลาดที่ไม่อยากมีพันธมิตรเป็นต่างชาติ จึงมองหาบริษัทรายกลาง-เล็ก เพื่อซื้อกิจการ ขยายขนาดธุรกิจ”นายพรนริศ กล่าว

สอดคล้องกับ นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาให้บริษัทหาบริษัทที่จะร่วมลงทุนมากขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนของกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นสูงถึง 50% รองลงมาคือ จีน โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 30%

MP33-3287-A เหตุผลที่กลุ่มนักลงทุนเหล่านี้ให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย ก็เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเหล่านี้ไม่ดี ประกอบกับแนวโน้มด้านเศรษฐกิจก็ยังไม่มีทิศทางบวก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ อีกทั้งระบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของไทยมีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม แต่ราคาอสังหาฯของไทยก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูง เมื่อเทียบกับประเทศแหล่งทุน

“แนวโน้มการจับมือกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ช่วงแรกๆเป็นการร่วมทุนเพื่อต้องการเงินทุน โนว์ฮาว สร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท แต่ในระยะหลังบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องการกลุ่มลูกค้าที่มาจากประเทศเหล่านี้ด้วย” นายสุรเชษฐ กล่าว

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ต และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ร่วมกันก่อตั้งบริษัท สิริ ทีเค วันฯ (Siri TK One Company Limited) ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% กลุ่มโตคิว ถือหุ้นสัดส่วน 29% และบริษัท สหโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 1% เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม นำร่องเปิดตัวโครงการแรกในชื่อ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท

สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคต เพื่อมอบ Community ที่อยู่อาศัย ความบันเทิง โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเกาะกลุ่มความเจริญแค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงอย่างเดียวในอนาคต

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,287 วันที่ 13 -16 สิงหาคม พ.ศ. 2560