4 แนวทางชี้ชะตา‘ยิ่งลักษณ์’ ส่งผลกระทบ‘เพื่อไทย’

09 ส.ค. 2560 | 23:43 น.
ความเคลื่อนไหวเรื่องใหญ่ทางการเมืองในรอบเดือนนี้ ยังต้องโฟกัสไปที่คดีจำนำข้าว ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นจำเลย ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษาในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมนี้

สำหรับแนวทางที่เป็นไปได้สำหรับคดีนี้มี 4 แนวทาง คือ 1.นางสาวยิ่งลักษณ์ หนีออกนอกประเทศ ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ ให้นำตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษา และนัดวันฟังคำพิพากษาใหม่ หรือหากศาลอ่านคำพิพากษา แนวทางออกก็จะเป็น 2.ยกฟ้อง 3.ผิดแต่รอลงอาญา และ 4.ผิดจำคุกจริง ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาในแนวทางใด ถือเป็นดุลพินิจของ ศาล ที่ทุกฝ่ายต้องให้ความเคารพ

TP16-3286-A ++ผลเป็นโทษพท.ระส่ำ
นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหา- วิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ให้ความเห็นเกี่ยวกับคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นมี 2 ทางคือ ถ้าเป็นคุณกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็จะเป็นเรื่องการยกฟ้อง หรือมีความผิด แต่รอลงอาญา จะยึดทรัพย์ก็ได้ หรือไม่ยึดทรัพย์ก็ได้ ซึ่งคดียึดทรัพย์อยู่ในศาลปกครอง และถ้าออกมาเป็นคุณแบบนี้ โอกาสที่นางสาวยิ่งลักษณ์ จะกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้งก็ยังเป็นไปได้

“การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคก็คงจะชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะวันนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ อยู่ระหว่างถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่เมื่อพ้นระยะเวลานั้น คุณยิ่งลักษณ์ ก็มีโอกาสกลับเข้ามาสู่การเมืองได้ อาจเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเอง แต่หากยังไม่พ้นช่วงเลือกตั้งอาจกลับมาในลักษณะผู้ให้คำแนะนำ หรือเป็นสัญลักษณ์ของพรรค ก็เป็นไปได้ ทำให้ทิศทางการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย (พท.) มีความชัดเจนขึ้น ตัวผู้ที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าหัวหน้าพรรค หรือผู้ลงสมัครเลือกตั้งต่างๆ ปรากฏเลือดไหล หรือส.ส.จะย้ายสังกัดพรรคน่าจะเป็นไปได้น้อย”

ในทางตรงข้าม ถ้าคดีออกมามีผลในทางเป็นโทษหรือผลร้ายกับนางสาวยิ่งลักษณ์ จะเกิดความระสํ่าระสายกับพรรคเพื่อไทย เพราะการสรรหาตัวบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค คงหาคนยาก เพราะแต่ละคนคงกังวลว่าถ้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะถูกโฟกัส หรือถูกจับจ้องแน่นอน ดังนั้นสนามการเมืองตรงนี้จะเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนที่เป็นตัวชูโรงทำได้ยาก แล้วจะมีโอกาสทำให้เกิดปรากฏการณ์เลือดไหลขอย้ายพรรค จะส่งผลต่อที่นั่งพรรคเพื่อไทยหลังเลือกตั้งช่วง 1-2 ปี หลังจากนี้

“การตัดสินคดีนี้แม้ว่าจะเป็นการตัดสินที่ต้องใช้พยาน หลักฐาน อีกด้านหนึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่า มีการเมืองด้วย ซึ่งจะส่งผลกับทิศทางการเมืองหลังจากนี้ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าผลคดีจะออกมาทางใดทางหนึ่ง ก็จะคล้ายๆ คดีพันธมิตรฯ พอผลคดีออกมาในทางเป็นคุณให้ฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ยอมรับ อย่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ มีการเคลื่อนไหว เดินหน้าต่อในการอุทธรณ์คดี มันสะท้อนภาพว่าการเมืองไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้” นายยุทธพร ระบุ

++ชี้ผลกระทบจากคำพิพากษา
ขณะที่ นายเจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้มุมมองส่วนตัวต่อคดีจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ว่า ผลการพิจารณาอาจจะออกมาได้ 2 แนว ทาง แนวทางแรกคือ ศาลยกฟ้อง ซึ่งการยกฟ้องคดี ทางผู้พิพากษาก็คงมีประเด็นมีคำอธิบายเหตุผลของการยกฟ้อง แต่กรณีที่ศาลไม่ยกฟ้อง เพราะมีความผิด ซึ่งความผิดอาจจะมีได้ในหลายลักษณะคืออาจจะผิด เพราะเป็นผู้ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเลย อาจโดนทั้งในกรณีความผิดอาญา และต้องชดใช้ค่าเสียหาย กับอีกแบบคือชดใช้ค่าเสียหาย แต่ไม่มีความผิดทางอาญา กรณีนี้อาจไม่ติดคุก หรืออาจจะรอลงอาญาก็เป็นได้ อีกส่วนอาจมีแต่ความผิดทางอาญาแต่ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายก็เป็นได้

ผลต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้นกรณีศาลพิพากษาว่านางสาวยิ่งลักษณ์มีความผิด รอลงอาญา หรือรอลงโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ จะอุทธรณ์หรือไม่อย่างไรนั้น คิดว่าหากเป็นกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ยื่นอุทธรณ์คงเป็นกรณีโดนเต็มๆ เช่นให้จำคุก และให้ชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้ารอลงอาญาแต่ไม่ต้องชดใช้เงิน คิดว่านางสาวยิ่งลักษณ์ อาจไม่อุทธรณ์ก็ได้ แต่ถ้ารอลง อาญาและชดใช้ค่าเสียหายก็คงต้องอุทธรณ์

นายเจษฎ์ ยังมองความเชื่อมโยงของคดีจำนำข้าว กรณีถ้านางสาวยิ่งลักษณ์ ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด แต่ให้รอลงอาญา จะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า ในทางการเมือง มองเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นส่วนของการทำงานของพรรคการเมือง รวมทั้งการส่งตัวแทนไปเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. ส่วนตัวคิดว่าในส่วนนั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เท่าใดนัก แต่เรื่องการเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย ก็อาจจะมีบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากในระหว่างนี้คนไม่ได้มองว่านางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นส่วนสำคัญในพรรคเพื่อไทยมากนัก และไม่มีส่วนสำคัญในการเสนอนโยบายของพรรคเพื่อไทย หรือการดำเนินการในเรื่องการสมัครผู้แทน

++จับตากระทบปรองดอง
แต่กรณีที่ 2 จะมีผลกับพรรคคือ คนจะบอกว่าพรรคเพื่อไทยเคยมีรัฐมนตรีโกง นายกฯ ละเลย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง จะแก้ปัญหานี้อย่างไรและจะสร้างความเชื่อมั่นในคนอย่างไร ซึ่งแยกเป็น 2 ส่วนคือ 1.ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะจะได้แนวร่วมอยู่แล้วโดยมองว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ถูกรังแก จึงไม่ต้องอธิบายอะไร คนที่รักพรรคเพื่อไทยยังไงก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย ยังไงก็เห็นว่านางสาวยิ่งลักษณ์ถูก ยังไงก็ชอบนายทักษิณ ชินวัตร เพราะเป็นแนวร่วมที่ดีอยู่แล้ว เขายิ่งออกมาใหญ่เลย ตรงนี้จึงไม่ต้องทำอะไรเลย เฉพาะตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ จึงไม่มีผลอะไรกับพรรค

ส่วนที่ 2 ความน่าเชื่อถือโดยรวมของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องทำให้คนทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาชุดแรกจะมีส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน ถ้าไม่เป็นที่เชื่อถือของเขาก็ไม่เลือก เข้ามา จะมีผลในส่วนนั้นด้วย คะแนนโดยทั่วไป ถ้าเป็นคนที่ไม่ใช่แฟนประจำของพรรคเพื่อไทยก็คงลดลง แต่แฟนประจำคงไม่ลดลง

“ถ้าออกมาในทางมีความผิดและมีโทษ กลุ่มที่สนับสนุนหลักคุณยิ่งลักษณก็จะบอกว่า นี่มันไล่ล่ากัน นี่ลัทธิล่าแม่มดยังไงก็ต้องผิด ต้องเอาเงินมาให้ได้ จะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าดูโดยรวมคำพิพากษาของศาลไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด กระทบกับการปรองดองอยู่แล้ว เพราะคนยังไม่อยู่ในระดับที่จะคุยกันรู้เรื่อง” นายเจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งหมดถือเป็นแนวทางออกต่อคดีจำนำข้าว ซึ่งผลของศาลฎีกาฯ จะออกมาเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ และมีผลกระทบตามมาต่อทิศ ทางการเมืองไทยอย่างไร หรือไม่ ต้องติดตามดูนับแต่วันที่ 25 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,286 วันที่ 10 -12 สิงหาคม พ.ศ. 2560